Posted on

5 เครื่องดื่มในมื้อเช้า ตัวช่วยในการ “ลดน้ำหนัก”

หลายคนจะทราบดี ว่าการลดน้ำหนัก ลดความอ้วนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องฝืนความเคยชินส่วนตัว ต้องลุกมาออกกำลังกาย ต้องเข้มงวดในการควบคุมอาหาร ต้องอดของชอบทั้งหลาย ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าจะรู้สึกเหนื่อยกับความพยายามนี้ ดังนั้น น่าจะดีกว่าถ้าเราจะมีตัวช่วยอื่นๆ ที่ทำควบคู่กันไป เพื่อไม่ให้ความพยายามในการลดน้ำหนักกลายเป็นความลำบากแล้วล้มเลิกไปเสียก่อน

เพราะการลดน้ำหนักจะเห็นผลและประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง ทั้งการควบคุมอาหารอย่างเหมาะสม และการออกกำลังกายเป็นประจำ แต่จริงๆ แล้ว หากคุณรู้เคล็ดลับ ว่าแค่เปลี่ยนแปลงมื้อเช้าสักเล็กน้อยเท่านั้น สามารถช่วยให้การลดน้ำหนักของคุณง่ายขึ้น ทุกเช้า คุณอาจจะดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวเพราะคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในการลดน้ำหนัก แต่มีตัวช่วยที่ดีและมีประโยชน์กว่านั้น หากคุณต้องการแค่เครื่องดื่มสักแก้วในมื้อเช้า

ซึ่งเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก ควรจะเริ่มจากการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและคงระดับพลังงานในร่างกายไว้ตลอดวัน แล้วรู้ไหม? ว่าเครื่องดื่มง่ายๆ บางอย่างอาจทำให้สุขภาพของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญเครื่องดื่มเหล่านี้ยังมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้ในเวลาเดียวกัน นี่คือ 5 เครื่องดื่มสุขภาพที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วซึ่งคุณสามารถดื่มมันเป็นกิจวัตรประจำวันทุกเช้า เพื่อสุขภาพที่ดีและช่วยให้การลดน้ำหนักง่ายขึ้น (ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ควรทำควบคู่ไปกับการคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำ)

  1. น้ำมะนาวผสมเมล็ดเจีย

ทั้งมะนาวและเมล็ดเจียล้วนมีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก ซึ่งเมื่อนำทั้งสองมารวมกัน ยิ่งได้เป็นเครื่องดื่มที่มหัศจรรย์สำหรับการลดน้ำหนัก และสุขภาพโดยรวมเลยทีเดียว วิธีการเตรียมไม่ได้ยุ่งยาก เพียงใช้น้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมกับน้ำมะนาวครึ่งลูก ทั้งนี้ยังสามารถเติมน้ำผึ้งลงไปได้เล็กน้อย เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมขึ้น จากนั้นเติมเมล็ดเจียลงไป ใช้ดื่มทุกเช้า เพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก ล้างพิษสาร ต่อต้านอนุมูลอิสระ และประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย

  1. ชาเขียว

ชาเขียวแท้ๆ ที่ไม่เจือปนอะไรเลยมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง เนื่องจากชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี สารในกลุ่มแซนทีนอัลคาลอยด์ คือ กาเฟอีน และธิโอฟิลลีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคต่างๆ และยังนิยมใช้เป็นเครื่องดื่มสำหรับลดน้ำหนักอย่างแพร่หลายด้วย ฉะนั้นจะรออะไร ทุกๆ เช้า ลองเปลี่ยนจากกาแฟแก้วโปรดมาดื่มชาเขียวดูสิ!

  1. น้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์

เป็นน้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมักแอปเปิลสด แอปเปิลไซเดอร์มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากไม่ผ่านความร้อนและการกรอง จึงยังคงเอนไซม์และแร่ธาตุจากธรรมชาติไว้ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดที่เป็นโทษต่อร่างกาย ลดน้ำตาลในเลือด บำรุงหัวใจ และช่วยเรื่องลดน้ำหนัก เตรียมน้ำเปล่าครึ่งแก้วแล้วเติมน้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ (แต่อย่าเติมมากเกินไป เพราะมีความเป็นกรดสูง รสเปรี้ยวจัด) ใช้ดื่มทุกเช้า แต่ควรใช้หลอดดูด เพื่อลดโอกาสการทำลายเคลือบฟันจากความเป็นกรดสูง

  1. น้ำดีท็อกซ์

หากคุณต้องการลดน้ำหนักและมีสุขภาพที่ดีด้วย คุณสามารถเลือกน้ำดีท็อกซ์ได้ ซึ่งน้ำดีท็อกซ์ก็ดีท็อกซ์สมชื่อ จึงเป็นอีกทางเลือกที่ดีเยี่ยมในการขับของเสีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย และเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ในการทำน้ำดีท็อกซ์ก็ไม่ได้ยาก คุณอาจใช้แตงกวา น้ำมะนาว ใบมิ้นท์ และขิงฝานลงไปในน้ำเปล่าที่เตรียมไว้ จากนั้นเก็บทิ้งไว้สักระยะ เมื่อได้ที่ก็นำออกมาดื่มในตอนเช้า หรือจะดื่มแทนน้ำเปล่าระหว่างวันก็ได้เช่นกัน

  1. น้ำยี่หร่า

น้ำยี่หร่านั้นมีประโยชน์อย่างมากในการลดน้ำหนัก ซึ่งเครื่องดื่มนี้ช่วยปรับกระบวนการเผาผลาญของคุณได้ นอกจากนี้น้ำยี่หร่า ยังช่วยลดความหิวและเพิ่มการเผาผลาญไขมัน เพียงแช่เมล็ดยี่หร่า 1 ช้อนโต๊ะลงในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ข้ามคืน กรองเอากากเมล็ดยี่หร่าออกแล้วดื่มทุกเช้า หรือถ้าไม่อยากกรอกออก คุณจะดื่มน้ำยี่หร่าแล้วเคี้ยวเมล็ดยี่หร่าไปด้วยก็ได้

บทความ https://www.sanook.com/health/28445/

Posted on

“แอสตร้าเซนเนกา-ซิโนแวค” วัคซีนโควิด-19 เป็นความหวังของคนไทยได้จริงหรือ?

หลังจากผ่านพ้นปฏิทินปี 2021 มา 5 เดือนเต็ม ในที่สุดประเทศไทยก็กำลังเดินหน้าเข้าสู่ขั้นต่อไปของการ “ฉีดวัคซีน” ไวรัสโควิด-19 หรืออีกนัยหนึ่ง คือการเปิดให้ประชากรไทยลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” เพื่อเตรียมตัวรับวัคซีนอย่างทั่วถึง

แต่ประเด็นที่ใครหลายคนอยากรู้ก่อนจรดนิ้วลงทะเบียน คงหนีไม่พ้นเรื่องสองยี่ห้อวัคซีน “ม้าเต็ง” อย่าง แอสตร้าเซนเนกา (AstraZeneca) และ ซิโนแวค (Sinovac) ที่ถูกถามถึงกันไม่เว้นวัน ว่า “ประสิทธิภาพ” รวมถึง “ผลข้างเคียง” ที่เกิดขึ้น จะคุ้มค่าพอให้เราเลิกแขนเสื้อขึ้นฉีดหรือไม่

แต่ก่อนจะพูดเจาะลึกถึงสองม้าเต็ง เราอยากจะขยายความถึงม้าเบอร์อื่นๆ ให้ชัดเจนขึ้นเสียก่อน เพื่อง่ายต่อการเทียบข้อแตกต่าง และชั่งน้ำหนักความคุ้มค่าของวัคซีนแต่ละชนิดอย่างชัดเจนที่สุด

วัคซีนโควิด-19 มีกี่ชนิด

นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ ที่ปรึกษาผู้จัดการความเสี่ยง โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลกับเราว่า วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งหมดในปัจจุบัน มีอยู่ 4 ชนิดหลักๆ โดยแบ่งจากเทคนิคที่ใช้ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้แก่

mRNA vaccines หรือวัคซีนชนิดสารพันธุกรรม เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เคยใช้กับการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอีโบล่า วัคซีนชนิดนี้จะใช้สารพันธุกรรมของโควิด-19 หรือเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) เข้าไปกำกับการสร้างโปรตีนส่วนหนาม (spike protein) และทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 ออกมา โดยมี BioNTech/Pfizer และ Moderna เป็นสองยี่ห้อที่ใช้เทคโนโลยีนี้

Viral vector vaccines หรือวัคซีนชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ พัฒนาโดยการนำไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงแล้ว หรือไม่สามารถแบ่งตัวได้อีก มาตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นพาหะ แล้วฝากสารพันธุกรรมของโควิด-19 เข้าไป ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ซึ่งเทคนิคนี้เป็นวิธีที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี

เนื่องจากเลียนแบบการติดเชื้อที่ใกล้เคียงธรรมชาติ โดยมีวัคซีนจาก Johnson & Johnson, Sputnik V รวมถึง ‘Oxford – AstraZeneca’ ที่ผลิตจากเทคนิคนี้

Protein-based vaccines หรือวัคซีนที่ทำจากโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อ ไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2)  โดยการนำเอาโปรตีนบางส่วนของโควิด-19 เช่น โปรตีนส่วนหนาม มาผสมกับสารกระตุ้นภูมิ ก่อนฉีดเข้าร่างกาย แล้วนำมาผสมกับสารกระตุ้นภูมิ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ใช้กันมานานแล้ว เพราะเป็นเทคนิคที่ใช้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนตับอักเสบชนิดบี ซึ่ง Novavax เป็นหนึ่งยี่ห้อที่ใช้เทคนิคนี้ในการผลิต

Inactivated vaccines หรือวัคซีนชนิดเชื้อตาย เป็นการผลิตขึ้นจากการนำเชื้อโควิด-19 มาทำให้ตายด้วยสารเคมีหรือความร้อน ก่อนฉีดเข้าร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส เทคนิคนี้ผลิตได้ค่อนข้างช้า และต้นทุนสูง เนื่องจากต้องผลิตในห้องปฏิบัติการนิรภัยระดับ 3 ซึ่งเจ้าที่ใช้เทคนิคนี้คือ Sinopharm และ Sinovac

ผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิด-19

เมื่อรับรู้ถึงที่มาที่ไปของเทคนิคที่ใช้ในการผลิตวัคซีนในแต่ละชนิด ความคาดหวังต่อมาคงหนีไม่พ้นปัจจัยด้านความเสี่ยง หรือ “ผลข้างเคียง” ที่ดูจะมีหลายอาการจนน่าสับสน ซึ่งจริงๆ แล้วผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ผู้มีผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักมีอาการร่วมกัน อย่าง จุดปวด บวม แดง คัน หรือช้ำ ตรงจุดฉีดวัคซีน, อาการคลื่นไส้ – มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รวมถึงรู้สึกอ่อนเพลียและไม่สบายตัว ซึ่งเป็นผลข้างเคียง “ชนิดไม่รุนแรง” ที่พบแทบในวัคซีนทุกชนิด

“ประเด็นที่คนไทยกำลังกังวลคือ ข่าวผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยเฉพาะภาวะลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา” โดย “สำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA) ประกาศว่าวัคซีนชนิดนี้ อาจมีความเชื่อมโยงกันกับภาวะดังกล่าว หลังมีรายงานว่ามีผู้ป่วยภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก”

“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายหน่วยงานด้านสาธารณสุขระดับโลกรายงานตรงกันว่า หากเทียบสัดส่วนประชากรที่รับการฉีดแล้ว ภาวะดังกล่าวมีสัดส่วนเกิดขึ้นต่ำมาก เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว หลายฝ่ายจึงให้ข้อสรุปว่า การเดินหน้าฉีดวัคซีนเพื่อลดโอกาสเสียชีวิตจากโควิด-19 จะมีประโยชน์มากกว่าการระงับใช้วัคซีนไปเลย”

ส่วนอีกหนึ่งที่กำลังเข้าสู่ประเทศไทยหลักล้านโดส อย่าง ซิโนแวค แม้ล่าสุดจะถูกเอ่ยถึงอาการข้างเคียงคล้ายอัมพฤกษ์ ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทชั่วคราว แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนในหัวข้อดังกล่าว

แอสตร้าเซนเนกา-ซิโนแวค วัคซีนโควิด-19 เป็นความหวังของคนไทยได้จริงหรือ?

ด้วยรายงานต่างๆ นานา ของทั้ง แอสตร้าเซนเนกา และ ซิโนแวค อาจจะยากเสียหน่อยที่จะยกวัคซีนทั้งสองให้เป็นม้าตัวความหวังของประเทศไทย แต่อย่างน้อยที่สุดแล้วทั้งคู่ต่างก็เป็นวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์กรอนามัยโลกแล้ว มีการอนุมัติใช้แล้วในหลายประเทศ และยังผ่านการขึ้นทะเบียนและได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย อย่างถูกต้อง

รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์ด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ให้ข้อมูลวัคซีนทั้งสองชนิดว่า “ในประเทศไทย จะใช้ แอสตร้าเซนเนกา ฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป บริเวณต้นแขนรวม 2 โดส ห่างกัน 10-12 สัปดาห์ และหลีกเลี่ยงการฉีดให้กับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมาก ส่วน ซิโนแวค จะฉีดให้กับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี บริเวณต้นแขนรวม 2 โดสเช่นกัน แต่ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ และยกเว้นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ระบาดรุนแรง จะต้องฉีดห่างกัน 2 สัปดาห์เท่านั้น”

“ประเทศไทยเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงทั้ง 4 ไปแล้ว ซึ่งประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า, ผู้มีโรคประจำตัวหรือโรคกลุ่มเสี่ยง, ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งหลังจากมีการนำเข้าวัคซีนมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เริ่มดำเนินการวางแผนงานฉีดวัคซีนให้คนทั่วไป กับโรงพยาบาล 1,500 แห่งทั่วประเทศ ผ่านแพลตฟอร์ม หมอพร้อม”

แพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” จะเปิดให้ลงทะเบียนผ่าน LINE Official Account ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป อีกทั้งยังเปิดให้ประชาชนได้ศึกษาวิธีใช้งาน รวมถึงรายละเอียดที่ต้องแจ้ง ผ่านทางเว็บไซต์ https://หมอพร้อม.com อีกด้วย

แม้จะสรุปไม่ได้ว่าการฉีดวัคซีนทั้งสองชนิด เป็นทางรอดของคนไทย 100% หรือไม่ แต่เราก็เชื่อว่าการเข้าถึงข้อมูลของวัคซีนโควิด-19 ที่มากพอ จะช่วยสร้างความหวังให้คนไทยได้ ตัดสินใจเลือก “ทางเลือก” ในการก้าวผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยตัวเอง

บทความจาก https://www.sanook.com/health/28429/

Posted on

ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees (วงศ์ Acanthaceae) 

ชื่ออื่น : ฟ้าทะลาย หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน เมฆทะลาย ฟ้าสะท้าน 

ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย “ฟ้าทะลายโจร” จัดเป็นสมุนไพรที่มีรสขม อยู่ในกลุ่มยาเย็น มีสรรพคุณทางการแพทย์แผนไทย ใช้บรรเทาอาการไข้หวัด แก้ไอและเจ็บคอ เป็นสมุนไพรที่ได้ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (บัญชียาจากสมุนไพร) กระทรวงสาธารณสุข ในรูปแบบยาเดี่ยว

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวสมุนไพรฟ้าทะลายโจรกันอย่างแพร่หลาย มีข้อมูลสนับสนุนจากงานวิจัยทางคลินิก พบว่า สมุนไพรฟ้าทะลายโจรมีส่วนช่วยรักษาอาการของโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ (acute respiratory tract infection) เช่น อาการไอ อาการเจ็บคอได้ดี ในปี พ.ศ.2555 ได้มีข้อมูลงานวิจัย จากผู้ป่วยจำนวน 807 คน พบว่าผลิตภัณฑ์สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ขนาดรับประทาน 31.5-200 มิลลิกรัม/วัน รับประทานเป็นเวลา 3-10 วัน มีผลช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการไอเนื่องจากไข้หวัด (common cold) และอาการอักเสบของระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้

ในมุมมองการเกิดโรคหรืออาการตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยนั้น อาการไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นอิทธิพลของธาตุไฟที่เพิ่มปริมาณสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการดังกล่าว เราจึงสามารถใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น (สมุนไพรฟ้าทะลายโจร) เพื่อใช้ในการรักษาอาการที่ส่งผลมาจากอิทธิพลของไฟที่เพิ่มขึ้นได้ พูดง่ายๆคือ ใช้ความเย็น ปรับหรือลดปริมาณความร้อนในร่างกายให้สมดุลนั่นเอง แต่หากใช้ในปริมาณเกินความจำเป็นก็อาจส่งผลทำให้ ร่างกายมีปริมาณความเย็นเกินไป ส่งผลทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ตามมาได้ เช่น อาการชาต่างร่างกาย แขน-ขาอ่อนแรง ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเสีย หรือผื่นแพ้ตามร่างกาย เป็นต้น

ฟ้าทะลายโจร

https://mgronline.com/qol/detail/9630000017651