Posted on

โปรตีนพืช ทางเลือกของคนรักสุขภาพ

Plant-based Protein ทางเลือกของคนรักสุขภาพ

Plant-based Protein คือโปรตีนจากพืชตระกูลถั่ว ข้าวบางชนิด และธัญพืชชนิดต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ กลุ่มคนที่แพ้นมวัว และกลุ่มที่ทานอาหารมังสวิรัติ ซึ่งจุดเด่นของโปรตีนจากพืชคือมีคอเลสเตอรอลและไขมันน้อยกว่าโปรตีนจากสัตว์ อีกทั้งยังมีไฟเบอร์จึงเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมรูปร่างและลดน้ำหนัก

ข้อจำกัดของโปรตีนจากพืชคือมีปริมาณของกรดอะมิโน (Essential Amino Acid) น้อยกว่าโปรตีนจากสัตว์ จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับโปรตีนจากพืชที่หลากหลาย และสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อต้องเสริมกรดอะมิโนสายโซ่กิ่ง (BCAAs: Branched-Chain Amino Acids) ซึ่งมีน้อยในโปรตีนจากพืช

หากต้องการมีสุขภาพที่ดี ต้องได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอทุกวัน

ร่างกายคนเราต้องการโปรตีนอย่างน้อย 0.8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพื่อช่วยรักษากล้ามเนื้อ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และควรได้รับมากขึ้นในกลุ่มคนที่ทำงานโดยใช้กำลังมาก หรือคนที่ชอบออกกำลังกาย การเลือกรับประทาน Plant-based Protein เพื่อเพิ่มปริมาณโปรตีนในแต่ละวันให้เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากโปรตีนจากพืชมีคอเลสเตอรอลและไขมันต่ำ และในกลุ่มผู้ทานมังสวิรัติ ทานอาหารเจ หรือผู้ที่มีอาการแพ้นมวัว สามารถรับประทานโปรตีนจากพืชได้อย่างสบายใจอีกด้วย

วิธีการเลือกรับประทานโปรตีนจากพืชควรรับประทานจากแหล่งโปรตีนที่หลากหลายเพื่อที่ร่างกายจะได้รับกรดอะมิโนจำเป็นอย่างครบถ้วน และได้รับโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอ หากมองหาโปรตีนจากพืชที่ดื่มง่าย รสชาติดี มีสารอาหารและวิตามินครบถ้วน ขอแนะนำ Phytae: The Ultimate Plant Protein โปรตีนหนึ่งเดียวที่มีสารอาหารย้อนวัย NMN (Nicotinamide Mononucleotide) และสารต้านอนุมูลอิสระ Resveratol และ Pterostilbene ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่

Posted on

หมดปัญหาท้องผูก หากรู้จักกิน

อาการท้องผูกเป็นปัญหาสุขภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็กหรือผู้ใหญ่ไปจนถึงผู้สูงอายุก็ตาม อาการท้องผูกนั้นเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพราะถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติหรือถ่ายอุจจาระไม่ออกเป็นเวลานาน ๆ รวมไปถึงอาการร่วมที่เกิดขึ้นด้วย เช่น การถ่ายอุจจาระออกได้ยาก ต้องใช้แรงเบ่งมาก ถ่ายได้ไม่สุด ก้อนอุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง และถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และหากมีอาการต่าง ๆ นั้นต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะเวลากว่า 3 เดือน จะกลายเป็นอาการท้องผูกเรื้อรัง

สาเหตุของอาการท้องผูกเกิดจากหลายสาเหตุ แต่กว่า 50% เกิดจากการการปฏิบัติตนที่ผิดวิธี เช่นทานอาหารที่มีกากใย (ไฟเบอร์) น้อย ดื่มน้ำไม่พอ กลั้นอุจจาระบ่อย ๆ หรือไม่ค่อยออกกำลังกาย

สำหรับใครที่ไม่ต้องการให้ตัวเองเกิดอาการท้องผูกนั้น ควรที่จะดูแลตัวให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร ที่ควรเลือกอาหารที่มีกากใย จำพวกผัก ผลไม้ และธัญพืช เพื่อให้อุจจาระนุ่ม นอกจากนี้ควรลดการรับประทานอาหารจำพวกครีม เนย เนื้อ มัน ทอด กาแฟ และแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้อุจจาระแห้ง รวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำที่จะทำให้ระบบขับถ่ายนั้นดีขึ้นกว่าเดิม และพยายามขับถ่ายให้เป็นเวลา

หากเกิดอาการท้องผูกแล้วล่ะก็ ไม่ควรละเลยปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เพราะอาการท้องผูกเรื้อรังจะนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่นริดสีดวงทวาร ลำไส้อักเสบ หรือมะเร็งลำไส้ ได้เช่นกัน ดังนั้นอย่าลืมดูแลสุขภาพให้ดี สำหรับท่านใดที่อ่านบทความนี้แล้ว อยากได้ตัวช่วยที่จะทำให้คุณห่างไกลจากอาการท้องผูก สบายโซนขอแนะนำ ‘C9 Fiber D’ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติถึง 20 ชนิด มีกากใย (ไฟเบอร์) ที่มีคุณสมบัติหลากหลายถึง 6 อย่าง และมีพรีไบโอติก (Pre-Biotic) ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ของเรา ส่งผลให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ โดยไม่ต้องใช้ยาถ่าย

ท่านผู้อ่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ C9 Fiber D ได้จากที่นี่

Posted on

มารู้จักกับ GABA กันเถอะ

มารู้จัก GABA กันเถอะ

ทุกวันนี้เราคงได้ยินคำว่า GABA (กาบา) กันบ่อย ๆ วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักว่า GABA คืออะไร และมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราอย่างไร

GABA หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Gamma-Aminobutyric Acid (แกมม่า อะมิโนบิวทีริก แอซิด) เป็นสารสื่อประสาทที่ทำงานเป็นตัวต้านกระแสประสาท ช่วยลดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดความกระสับกระส่าย และความกังวล ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เลยส่งผลให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

GABA ตามธรรมชาติสามารถพบได้ใน ชาเขียว ชาดำ และ ชาอู่หลง โดยเฉพาะเช่นในอาหารที่หมัก ได้แก่ กิมจิ โยเกิร์ต อาหารประเภทอื่นๆ ที่มี GABA หรืออาจเพิ่มการผลิต GABA ให้แก่ร่างกาย ได้แก่ ธัญพืช ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา และถั่วอื่น ๆ รวมทั้งวอลนัท อัลมอนด์ และเมล็ดทานตะวัน รวมไปถึงปลา กุ้ง มะนาว มะเขือเทศ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักโขม บล๊อคโคลี่ มันฝรั่งและโกโก้

หรือเลือกรับประทาน GABA ในรูปแบบที่เป็นอาหารเสริมก็สามารถตอบโจทย์ได้ อาหารเสริม GABA มักใช้เพื่อลดความเครียดและความวิตกกังวล ลดความดัน และ ช่วยเรื่องการนอนหลับ รวมทั้งการกระตุ้นโกรทฮอร์โมน แต่การรับประทาน GABA เป็นอาหารเสริมควรเลือกแหล่งที่มาของ GABA ที่มาจากธรรมชาติ เพราะการรับประทาน GABA ที่สังเคราะห์ขึ้นมาอาจส่งผลร้ายต่อร่างกายมากกว่าผลดี

ซึ่งเราขอแนะนำ PharmaGABA® ซึ่งเป็นแหล่ง GABA ที่มีคุณภาพ และ ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และ ความปลดภัย ทั้งทางด้านการวิจัย และการรับรองจากทาง FDA (องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา) ให้เป็น GRAS (Generally Recognized as Safe) คือได้รับการยอมรับว่าปลอดภัย และรับรองในการให้ใช้ในอาหารได้ในหลายๆ ประเทศ และที่สำคัญ  PharmaGABA® เป็น Non-GMO หรือไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม ซึ่งผลการวิจัยชี้ว่า PharmaGABA® ช่วยลดเวลาที่ใช้เพื่อให้นอนหลับให้สั้นลง และช่วยให้ระยะเวลาการหลับลึกยาวนานขึ้นเมื่อเทียบกับ GABA จากแหล่งอื่น

PharmaGABA® ช่วยลดอาการนอนไม่หลับ การหลับ ๆ ตื่น ๆ หลับไม่ลึก ลดอาการเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย และยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงใด ๆ ในการใช้ รวมไปถึงไม่มีผลต่อการทำงานของยาใด ๆ กับ PharmaGABA®  

อย่างไรก็ตามผู้ที่ตั้งครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

หากคุณอ่านมาถึงตรงนี้ และรู้สึกว่า GABA เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณแล้วล่ะก็

เราขอแนะนำผลิตภัณฑ์ของเรา  C9 Sesame Plus GABA ที่รวบรวมสารอาหารดี ๆ นอกเหนือจาก GABA ที่จะช่วยให้คุณพักผ่อนได้เต็มที่ 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

Posted on

หากคุณรัก “ผม” คุณต้องใช้ “เคราติน”

สาวหลายคนคงเคยรู้จัก “เคราติน” จากร้านทำผม เพราะเป็นตัวทรีทเม้นท์ผมให้สวยงาม ซึ่งช่างเสริมสวยมักชอบเชียร์ให้ลูกค้าใช้ โดยบอกว่า ผมที่เสียจากการทำสีผม ดัดผม ยืดผม และจากการถูกรบกวนจากมลภาวะรอบกาย โดนทั้งความร้อน และสารเคมี สิ่งปนเปื้อนต่างๆ รวมถึงขาดการบำรุงที่ดีและไม่เพียงพอ จึงทำให้เส้นผมได้รับความเสียหาย ทั้งแห้ง แตกปลาย ชี้ฟู หยาบกระด้าง และหลุดร่วง หากได้ทำทรีทเม้นท์ด้วย “เคราติน” จะช่วยบำรุงผมให้แข็งแรง ผมที่เสียจะกลับมาดูสวย เงางามมีน้ำหนัก ไม่หลุดร่วงง่าย ไม่ว่าจะเคยใช้หรือไม่ก็ตาม สงสัยกันมั้ยคะว่า “เคราติน” นี้คือสารอะไร มีคุณสมบัติ และให้ประโยชน์อย่างไร เรามาทำความรู้จักกับเคราตินให้มากขึ้นกันนะคะ

เคราติน (KERATIN) คืออะไร

“เคราติน” เป็นชื่อของโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างสำคัญของผิวหนัง, เล็บ, ขน, และเส้นผมของมนุษย์ (และในเขา, นอ, ขน, เกล็ด, และกรงเล็บของสัตว์ชนิดอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งในใยแมงมุม) โปรตีนเคราตินที่พบในคนและสัตว์มีกระดูกสันหลังมีโครงสร้างเป็นเส้นใย โดยกรดอะมิโนที่พบมากที่สุดในโครงสร้างของเคราติน คือ ซิสเตอีน (cysteine)ซึ่งซิสเตอีนแต่ละโมเลกุลมีการเชื่อมต่อกันด้วยเป็นพันธะไดซัลไฟด์ (disulfide bond) ซึ่งเป็นพันธะที่แข็งแรงมาก จึงส่งผลให้โปรตีนเคราตินมีความแข็งแรงและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี

ต้นกำเนิดของเคราตินถูกสร้างโดยเซลล์ผิวหนังคีราติโนไซต์ (keratinocyte)ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของผิวหนังที่พบได้บริเวณชั้นล่างสุดของผิวหนังชั้นนอก (epidermis)

เคราตินมีบทบาทเกี่ยวกับการเสริมสร้างความแข็งแรงของอวัยวะและปกป้องเซลล์เยื่อบุผิวจากการถูกทำร้ายจากสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยช่วยป้องกันการดูดซึมของสารต่างๆเข้าสู่ร่างกาย ลดอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลต และป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวหนัง

เคราตินทำหน้าที่เป็นตัวประสานเนื้อเยื่อของผิวหนังเข้าด้วยกัน คุณสมบัติของเคราตินคือสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับชั้นเซลล์ผิวหนังและเป็นแหล่งความชุ่มชื้นของเส้นผม เส้นขนและเล็บ รวมถึงเป็นแหล่งอาหารที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ เจริญเติบโตได้เป็นปกติอีกด้วย

เคราตินบนผิวหนัง
เคราตินที่พบบริเวณผิวหนังชั้นนอก เช่น ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีลักษณะเป็นแผ่นบาง และมีความอ่อนนุ่ม(soft keratin)มากกว่าที่พบบริเวณเส้นผมขน และเล็บ เนื่องจากโมเลกุลของโปรตีนมีพันธะไดซัลไฟด์น้อยกว่า
หากบริเวณผิวหนังขาดเคราติน จะทำให้ผิวแห้ง แตก ลอกเป็นขุย

เคราตินในเส้นผมและขน
ส่วนเส้นผมและขนที่ยื่นออกมาจากผิวหนัง (hair shaft) มีโปรตีนเคราตินเป็นส่วนประกอบถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เคราตินที่พบจัดเป็นชนิดแข็ง (hard keratin) เนื่องจากมีพันธะไดซัลไฟด์จำนวนมาก โดยเคราตินที่บริเวณชั้นนอกสุดของเส้นผม (cuticle) มีการรวมตัวและยึดเกาะกันแน่นจนมีลักษณะเป็นแผ่นคล้ายกระเบื้อง ในขณะที่ชั้นกลาง (cortex) ซึ่งเป็นชั้นที่ใหญ่ที่สุด จะพบเคราตินแบบเส้นใยอัดตัวกันแน่นและพันเป็นเกลียวตามแนวยาวของเส้นผม โดยที่ชั้นนี้จะมีเม็ดสีเมลานิน (melanin) ที่ทำให้เส้นผมมีสีต่าง ๆ ตามเชื้อชาติของแต่ละคนอีกด้วย
การทำสีผม ดัด ยืดผม รวมถึงการมัดผมเป็นเวลานานๆ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เคราตินธรรมชาติละลายหายไป โดยเส้นผมจะมีสัมผัสที่หยาบกระด้างชี้ฟู ไม่สามารถแต่งเป็นทรงได้ อาจทำให้ผมบางลง ผมร่วง เและผมขาดง่าย

เคราตินในเล็บ
เป็นเคราตินชนิดแข็งเช่นเดียวกับในเส้นผมและขน แต่เส้นใยเคราตินมีการยึดเกาะกันเป็นแผ่นแบนและวางตัวขนานกันตามแนวยาวของเล็บ หากขาดเคราตินบริเวณเล็บ จะทำให้เล็บเปราะหักง่าย ฉีกเป็นชั้น

หากอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ เคราตินเป็นสารอาหารหลักของกระบวนการงอกใหม่ของเส้นผม เส้นขน และเล็บ รวมถึงเซลล์ผิวหนัง อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ไว้ใช้งานได้เองตามธรรมชาติ เคราติน มีกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ในลักษณะผลัดเซลล์เก่าแทนที่เซลล์ใหม่

โรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของการสร้างเคราติน

โรคดักแด้ (Epidermolysis Bullosa) ซึ่งการกลายพันธุ์ของยีนมีผลให้ผิวหนังแห้ง เปราะบางอย่างรุนแรงตั้งแต่กำเนิด และผิวหนังจะมีลักษณะพุพองมากขึ้นหากเกิดการเสียดสี

โรคผิวหนังเกล็ดปลา (Epidermolytic hyperkeratosis) ที่พบการสร้างเคราตินมาผิดปกติเนื่องจากการกลายพันธุ์ของยีน ทำให้ผิวหนังมีลักษณะแข็งคล้ายหิน

มะเร็งผิวหนังชั้นกำพร้า (Keratinocyte carcinoma) ซึ่งมักพบได้บ่อยในกลุ่มคนผิวขาว เกิดจากการได้รับรังสียูวีที่มากเกินไปจนยีนที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งตัวของเซลล์คีราติโนไซต์เกิดการกลายพันธุ์จนทำให้เกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติและกลายเป็นมะเร็ง

การสร้างโปรตีนเคราตินในมนุษย์ถูกควบคุมโดยปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ พันธุกรรม, ฮอร์โมน, สารอาหาร, รังสียูวี, การเกิดบาดแผล, และสารเคมีต่าง ๆ

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อให้กระตุ้นสร้างเคราตินนั้น ควรเลือกอาหารที่อยู่ในหมวดโปรตีนเป็นหลัก นอกจากจะพบเคราตินในอาหารจำพวกโปรตีนเป็นหลักแล้ว รองลงมาก็คืออาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและอาหารที่มีกรดอะมิโนจำเป็น เช่น กรดไขมัน โดยแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในกระบวนการสร้างเคราติน ได้แก่ ปลาแซลมอน ไข่ไก่ และตระกูลถั่ว เช่น อัลมอนด์ พีแคน มะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ถั่วแดง มะม่วง สัปปะรด กีวี ลูกพืช ชีส นมพร่องมันเนย โยเกิร์ต บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี สตอเบอร์รี บร็อคโคลี ผักปวยเล้ง ผักโขม ผักคะน้า หอยนางรม เมล็ดฟักทอง และเนื้อไก่ เป็นต้น

———————————————————————————————————————————————————-
ให้โอกาส ซีไนน์ ได้ดูแลคุณ…

เนื่องจากเคราติน ถูกทำลายได้อย่างง่าย ทั้งจากอายุที่มากขึ้น จากสิ่งแวดล้อม และสารเคมีต่าง ๆ จากการทำผม ซีไนน์ จึงมีผลิตภัณฑ์ดูแลผมที่เสริมเคราติน เป็นก ารทำทรีทเม้นท์แบบง่าย ๆ ทำได้เองที่บ้านด้วยการสระผมตามปกติ  ซีไนน์ขอแนะนำ 3 ตัวช่วย เสริมเคราตินให้เส้นผม ดังนี้

KERATIN ROSE SHAMPOO

KERATIN ROSE CONDITIONER

KERATIN HAIR SERUM

Posted on

หมดปัญหาผมร่วงด้วย ‘Lupinus Protein’

หยุดปัญหาผมร่วงด้วย โปรตีนจากลูพิน

โปรตีนจากลูพิน คือสารสกัดจากต้นลูพิน พืชมหัศจรรย์จากเมดิเตอร์เรเนียน มีประโยชน์ใช้สอยมากมาย และอุดมไปด้วยสารอาหาร โดยเฉพาะประโยชน์เกี่ยวกับการดูแลหนังศรีษะและเส้นผม

 

‘ผมร่วง’ คือปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะอายุเท่าใด หรือเพศอะไร ซึ่งสาเหตุของการเกิดผมร่วงนั้นก็มีมากมายหลายสาเหตุ เช่นเกิดจากฮอร์โมน ความเครียด การขาดสารอาหาร และโรคทางผิวหนัง ซึ่งปัจจุบันก็มีทางเลือกในการรักษาและดูแลปัญหาผมร่วงเยอะแยะมากมาย แต่ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงสารสกัดจากลูพิน ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักแต่กลับมีประสิทธิภาพสูงในการจบทุกปัญหาเรื่องหนังศรีษะและเส้นผม

 

โปรตีนจากลูพินมีคุณสมบัติในการลดผมร่วง และกระตุ้นการงอกของเส้นผม อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ ช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนบริเวณรากผม และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศรีษะ ส่งผลให้การลำเลียงสารอาหาร และออกซิเจนเป็นไปโดยสะดวกทำให้เส้นผมและหนังศรีษะแข็งแรง ลดปัญหาการหลุดร่วงของเส้นผม

และนี่คือประโยชน์ของสารสกัดจากพืชที่น้อยคนจะรู้จัก แต่ช่วยแก้ปัญหาของมนุษยชาติได้อย่างดี ซึ่งวิธีการใช้ประโยชน์ของโปรตีนจากลูพินนั้นก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ส่วนผสมของโปรตีนจากลูพินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้นก็พอ และหากท่านผู้อ่านสนใจประโยชน์ของโปรตีนจากลูพิน เราขอแนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจาก C9 (ซีไนน์) ในซีรีย์ชุด ‘C9 Hair Care’ ซึ่งประกอบไปด้วย 

C9 Lupin Shampoo Hair Care และ C9 Lupin Conditioner Hair Care   ยาสระผมและครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของโปรตีนจากลูพิน เพียงแค่ใช้เป็นประจำก็ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ แต่ถ้าท่านใดอยากจบปัญหารังแคบนหนังศีรษะ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุสำคัญของอาการผมร่วง เราขอแนะนำ C9 Lupin Hair Tonic ผลิตภัณฑ์โทนิคบำรุงผม และหนังศีรษะ ช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการเติบโตของเส้นผม และสำหรับท่านที่ต้องการให้ผมขึ้น หรือยาวเร็วขึ้น C9 Lupin Hair Serum คือสิ่งที่ท่านไม่ควรพลาด เพราะเซรั่มตัวนี้มีสารสกัดโปรตีนจากลูพินเข้มข้นที่สุดในซีรีย์ Hair Care ของแบรนด์ C9 ผู้เขียนได้ลองใช้แล้ว ต้องบอกว่าได้ผลจริง ๆ ครับ

และในโอกาสต่อไป เราจะมาแนะนำสารอาหารที่จะช่วยลดปัญหาการผมร่วง ติดตามข่าวสารและบทความดี ๆ ได้จากสบายโซนได้ที่ www.sbuyzone.com หรือแฟนเพจ Sbuyzone แล้วพบกันในโอกาสต่อไปครับ

Posted on

จัดการได้ถูกเมื่อรู้จักอาการ “ปวดเมื่อย”

ใครไม่เคยมีอาการ “ปวดเมื่อย” บ้างยกมือขึ้น!!!
พอฟังคำถามนี้ก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่า จะมีใครบ้างหรือไม่ ที่ไม่เคยมีอาการปวดเมื่อยเลย ไม่ว่าจะปวดขาปวดแขนปวดไหล่ ปวดข้อมือ ปวดอะไรก็แล้วแต่ น่าจะไม่มีนะ ทุกคนผ่านอาการปวดเมื่อยมาทั้งนั้น ตั้งแต่เด็ก ๆ เรียนพละก็มักจะปวดเมื่อยเสมอ ๆ จนถึงวัยทำงาน ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็มีโอกาสปวดเมื่อยได้ทุกอาชีพ อยู่บ้านทำงานบ้านก็ปวดเมื่อยได้ง่ายเหลือเกิน แม้จะไม่ได้ทำอะไร นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เฉยๆ ก็ปวดเมื่อยขึ้นมาซะงั้น

หนีไม่พ้นอาการปวดเมื่อย เราจึงต้องมาทำความเข้าใจกับอาการปวดเมื่อยกันดีกว่านะคะ

อาการปวดเมื่อยเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่าง แบ่งกลุ่มอาการตามสาเหตุได้ 5 กลุ่ม ดังนี้

  1. การปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อ

การปวดกล้ามเนื้อมักพบที่คอ บ่า หลัง และเอว เป็นส่วนใหญ่ อาการจะปวด ๆ เมื่อย ๆ บริเวณที่เป็นปัญหา และมักจะเป็นผลจากการอยู่ในท่าหนึ่งท่าใดที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน เช่น การนั่งทำงานในท่าหลังงอเป็นเวลานาน อาจจะเป็นความเคยชิน ท่านอนที่ไม่เหมาะสมก็เป็นเหตุทำให้ปวดเมื่อยได้ง่าย หมอนสูง หมอนแข็ง หมอนยุบ ก็เป็นสาเหตุให้ปวดเมื่อยคอได้ ที่นอนที่ยุบตัวจะทำให้หลังอยู่ในท่างอเกินไป ทำให้ปวดหลังได้ ที่นอนที่แข็งเกินไป ถ้านอนหงายช่วงสะโพกจะกดที่นอน แต่ช่วงเอวที่เว้าขึ้นจะลอยไม่มีอะไรรองรับก็จะทำให้เมื่อยเอวได้ การยกของหนักในท่าที่ไม่ถูกต้องก็เป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อได้ง่ายเช่นกัน

  1. อาการปวด จากเส้นเอ็น

อาการปวดจากเส้นเอ็นพบบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวข้อมาก ๆ เช่น บริเวณไหล่ ศอก ข้อมือ ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย สาเหตุเพราะเส้นเอ็นในบริเวณนั้นเกิดการอักเสบ จะมีอาการปวดมาก และไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่นไหล่ติด จะยกแขนไม่ขึ้น ไม่สามารถขยับได้เหมือนปกติ และถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจจะทำให้เกิดความพิการได้

  1. อาการปวดจากเส้นประสาทถูกกดทับ

อาการปวดจากเส้นประสาทกดทับจะปวดแสบ และร้าวไปตาม เส้นประสาท ตำแหน่งที่พบบ่อยคือที่บริเวณกระดูกคอ เกิดขึ้นจากกระดูกสันหลังบริเวณคอเสื่อม มีแคลเซียมมาเกาะ และกดลงไปที่เส้นประสาทที่ออกจากช่องระหว่างกระดูกคอ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดที่คอ ไหล่ และอาจจะปวด ลงไปที่แขน และมือ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการที่คอด้านใดด้านหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทั้ง 2 ด้านก็ได้

นอกจากที่คอแล้ว บริเวณหลัง เอว ก็เกิดอาการนี้ได้บ่อยเช่นกัน ส่วนมากเกิดจากการยกของหนัก ในท่าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ส่วนของกระดูกสันหลังที่เรียกว่า หมอนรองกระดูก ซึ่งอยู่ระหว่างกระดูกสันหลัง 2 อัน เคลื่อนออกมาจากตำแหน่งเดิม มากดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง ผู้ป่วยจะเกิดอาการปวดหลังอย่างมาก และส่วนใหญ่จะเป็นแบบเฉียบพลัน จะมีอาการปวดร้าวไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง อาการปวดที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องนอนพักหลาย ๆ วัน

  1. ปวดข้อ

อาการปวดข้อพบได้มากในกลุ่มผู้สูงอายุ ข้ออาจเสื่อม พบมากที่ข้อเข่า หรือผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักมาก หรือคนที่ทำงานแบกหามของน้ำหนักมาก ๆ นาน ๆ ทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมากกว่าปกติ ลักษณะการนั่งของบางคนที่นิยมนั่งกับพื้น นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิหรือนั่งยอง ๆ มีการพับงอของหัวเข่าอย่างมาก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบเข่า มีการยืดผิดปกติ  เลือดจะมาเลี้ยงเข่าไม่สะดวก ทำให้เกิดปัญหาข้อเข่าได้

ข้อเสื่อมบริเวณนิ้วมือก็พบได้เช่นกัน จะมีอาการปวดและข้อบวมโตกว่าปกติ ที่ข้อนิ้วมือส่วนปลายเกือบทุกนิ้ว ส่วนมากมักพบในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องทำงานบ้าน เช่น ซักผ้า บิดผ้าเป็นต้น

 

นอกจากนี้การปวดข้อยังมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ได้ เช่น โรคเก๊าท์ การติดเชื้อในข้อ  รูมาตอยด์ เป็นต้น ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มีสาเหตุจากกรดยูริกในเลือดไปตกตะกอนที่ข้อ ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น  ส่วนใหญ่ มักจะเริ่มปวดข้อครั้งแรกในวัยกลางคน มักปวดที่ข้อที่ข้อนิ้วหัวแม่เท้าเป็นส่วนใหญ่ แต่อาจจะปวดที่ข้ออื่น ๆ ก็ได้ ที่ข้อจะมีอาการบวม แดง ร้อนชัดเจน และเจ็บมากเวลามีการเคลื่อนไหวหรือถูกกระทบกระทั่ง บางครั้งรักษาหายแล้ว แต่ไม่ดูแลตัวเอง ไม่ควบคุมอาหาร ก็อาจทำให้โรคกำเริบได้อีก ดังนั้นคนที่เป็นโรคเก๊าท์จะต้องพบแพทย์และติดตามการรักษาเป็นระยะ เพื่อควบคุมให้ปริมาณกรดยูริกในเลือดอยู่ในระดับที่เหมาะสม

  1. การปวดเมื่อยจากเส้นเลือด

ถ้าเส้นเลือดแดงตีบแคบลง เลือดเดินไปสู่กล้ามเนื้อไม่สะดวก จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อส่วนที่เส้นเลือดแดงตีบได้  ซึ่งการปวดจะค่อนข้างเร็ว จนไม่สามารถทำภารกิจต่อได้ ต้องหยุดพัก หรือหยุดเคลท่อนไหว เช่น ถ้าเส้นเลือดแดงที่ขาตีบ หากเดินมาก แต่เลือดไปเลี้ยงที่ขาไม่ได้ ทำให้กล้ามเนื้อขาปวดมากจนเดินต่อไม่ไหวจนต้องหยุดเดินและนั่งพัก จนอาการดีขึ้นจึงจะสามารถจะเดินต่อไปได้อีก

หลอดเลือดดำผิดปกติ เนื่องจากลิ้นกั้นในหลอดเลือดดำผิดปกติไป ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ขา พบในคนที่ต้องยืนทำงานเป็นเวลานาน ๆ และอาจพบบ่อยในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ เมื่อทารกในครรภ์โตขึ้น น้ำหนักจะกดลงที่เส้นเลือดดำในช่องท้องส่วนล่าง ทำให้เลือดดำจากขากลับสู่ช่องท้องไม่สะดวก เลือดจึงคั่งอยู่ที่ขา ทำให้ลิ้นกั้นในหลอดเลือดดำเสีย เกิดอาการปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อขาได้ มักปวดในช่วงเย็นของวันที่มีการยืนมาก ๆ และอาจปวดมากขึ้นในเวลานอน ทำให้นอนไม่หลับได้

นอกจากนี้ตำราแพทย์แผนไทยยังระบุว่า “ความเครียด” ยังเป็นสาเหตุของอาการปวดเมื่อยได้ เพราะคนที่เกิดความเครียด จะกระวนกระวาย นอนไม่หลับ เลือดลมจะไหลเวียนไม่สะดวก ไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหรือร่างกายในจุดต่าง ๆ ได้ดี ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้เช่นกัน

สรุปต้นเหตุที่แท้จริงของอาการปวดเมื่อยมาจาก
1. การใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนักเป็นเวลานาน
2. การผิดปกติทางกาย เช่น หลังงอ น้ำหนักมาก
3. ท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ยกของหนักผิดท่า การนั่ง การนอน การเดิน การยืน การกระโดด การ
วิ่ง การหมุน ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเร็วเกินไป หรือมีแรงกระแทกแรงเกินไป
4. อายุที่มากขึ้น เป็นเหตุให้เกิดการเสื่อมของร่างกายได้
5. โรคที่อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือจากพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง
6. ความเครียด

ไม่ว่าจะปวดเมื่อยที่ส่วนใด หรือจากสาเหตุใด จำเป็นต้องรักษาให้ถูกต้องตามหลักทางการแพทย์ ซึ่งบางครั้งต้องใช้เวลานานพอสมควร ดังนั้น การใช้ยาทาหรือยานวด จึงเป็นทางออกที่ดีที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ แม้ไม่ใช่การรักษาโรคให้หาย แต่สามารถช่วยให้ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากอาการปวดเมื่อยได้ ทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้น สามารถทำงานได้ตามปกติ
—————————————————————————————————————————————-

ให้โอกาส ซีไนน์ ได้ดูแลคุณ…

ซีไนน์ ยาครีมผสมสมุนไพรไทย”

บรรเทาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก เส้นเอ็นตึง นิ้งล็อค ปวดเมื่อยหรือบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย การทำงานหนัก และอาการปวดเมื่อยจากสาเหตุต่าง ๆ ผลิตจากสมุนไพรไทยสกัดเข้มข้น ถึง 6 ชนิด ได้แก่
เหง้าขมิ้นชัน

ต้นตะไคร้หอม

ผิวมะกรูด

หัวไพลสด

ใบส้มป่อย

ใบมะขามไทย

เนื้อครีมเนียนซึมซับได้เร็ว กลิ่นหอมสมุนไพรเหมือนการทำอโรมา จึงช่วยทำให้สดชื่นคลายความเครียดซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ปวดเมื่อยได้ ผลิตจากโรงงานที่มีศักยภาพในการสกัดสารสมุนไพรแบบขัมข้น ได้มาตรฐาน มีคุณภาพและปลอดภัย ที่สำคัญคือขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนโบราณ เป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ทุกบ้านควรมีไว้

 

 

By : Eedsbuyzone

Posted on

5 เครื่องดื่มในมื้อเช้า ตัวช่วยในการ “ลดน้ำหนัก”

หลายคนจะทราบดี ว่าการลดน้ำหนัก ลดความอ้วนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องฝืนความเคยชินส่วนตัว ต้องลุกมาออกกำลังกาย ต้องเข้มงวดในการควบคุมอาหาร ต้องอดของชอบทั้งหลาย ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าจะรู้สึกเหนื่อยกับความพยายามนี้ ดังนั้น น่าจะดีกว่าถ้าเราจะมีตัวช่วยอื่นๆ ที่ทำควบคู่กันไป เพื่อไม่ให้ความพยายามในการลดน้ำหนักกลายเป็นความลำบากแล้วล้มเลิกไปเสียก่อน

เพราะการลดน้ำหนักจะเห็นผลและประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง ทั้งการควบคุมอาหารอย่างเหมาะสม และการออกกำลังกายเป็นประจำ แต่จริงๆ แล้ว หากคุณรู้เคล็ดลับ ว่าแค่เปลี่ยนแปลงมื้อเช้าสักเล็กน้อยเท่านั้น สามารถช่วยให้การลดน้ำหนักของคุณง่ายขึ้น ทุกเช้า คุณอาจจะดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวเพราะคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในการลดน้ำหนัก แต่มีตัวช่วยที่ดีและมีประโยชน์กว่านั้น หากคุณต้องการแค่เครื่องดื่มสักแก้วในมื้อเช้า

ซึ่งเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก ควรจะเริ่มจากการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและคงระดับพลังงานในร่างกายไว้ตลอดวัน แล้วรู้ไหม? ว่าเครื่องดื่มง่ายๆ บางอย่างอาจทำให้สุขภาพของคุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญเครื่องดื่มเหล่านี้ยังมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้ในเวลาเดียวกัน นี่คือ 5 เครื่องดื่มสุขภาพที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วซึ่งคุณสามารถดื่มมันเป็นกิจวัตรประจำวันทุกเช้า เพื่อสุขภาพที่ดีและช่วยให้การลดน้ำหนักง่ายขึ้น (ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ควรทำควบคู่ไปกับการคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำ)

  1. น้ำมะนาวผสมเมล็ดเจีย

ทั้งมะนาวและเมล็ดเจียล้วนมีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก ซึ่งเมื่อนำทั้งสองมารวมกัน ยิ่งได้เป็นเครื่องดื่มที่มหัศจรรย์สำหรับการลดน้ำหนัก และสุขภาพโดยรวมเลยทีเดียว วิธีการเตรียมไม่ได้ยุ่งยาก เพียงใช้น้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมกับน้ำมะนาวครึ่งลูก ทั้งนี้ยังสามารถเติมน้ำผึ้งลงไปได้เล็กน้อย เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมขึ้น จากนั้นเติมเมล็ดเจียลงไป ใช้ดื่มทุกเช้า เพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก ล้างพิษสาร ต่อต้านอนุมูลอิสระ และประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย

  1. ชาเขียว

ชาเขียวแท้ๆ ที่ไม่เจือปนอะไรเลยมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง เนื่องจากชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี สารในกลุ่มแซนทีนอัลคาลอยด์ คือ กาเฟอีน และธิโอฟิลลีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคต่างๆ และยังนิยมใช้เป็นเครื่องดื่มสำหรับลดน้ำหนักอย่างแพร่หลายด้วย ฉะนั้นจะรออะไร ทุกๆ เช้า ลองเปลี่ยนจากกาแฟแก้วโปรดมาดื่มชาเขียวดูสิ!

  1. น้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์

เป็นน้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมักแอปเปิลสด แอปเปิลไซเดอร์มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากไม่ผ่านความร้อนและการกรอง จึงยังคงเอนไซม์และแร่ธาตุจากธรรมชาติไว้ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดที่เป็นโทษต่อร่างกาย ลดน้ำตาลในเลือด บำรุงหัวใจ และช่วยเรื่องลดน้ำหนัก เตรียมน้ำเปล่าครึ่งแก้วแล้วเติมน้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ (แต่อย่าเติมมากเกินไป เพราะมีความเป็นกรดสูง รสเปรี้ยวจัด) ใช้ดื่มทุกเช้า แต่ควรใช้หลอดดูด เพื่อลดโอกาสการทำลายเคลือบฟันจากความเป็นกรดสูง

  1. น้ำดีท็อกซ์

หากคุณต้องการลดน้ำหนักและมีสุขภาพที่ดีด้วย คุณสามารถเลือกน้ำดีท็อกซ์ได้ ซึ่งน้ำดีท็อกซ์ก็ดีท็อกซ์สมชื่อ จึงเป็นอีกทางเลือกที่ดีเยี่ยมในการขับของเสีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย และเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ในการทำน้ำดีท็อกซ์ก็ไม่ได้ยาก คุณอาจใช้แตงกวา น้ำมะนาว ใบมิ้นท์ และขิงฝานลงไปในน้ำเปล่าที่เตรียมไว้ จากนั้นเก็บทิ้งไว้สักระยะ เมื่อได้ที่ก็นำออกมาดื่มในตอนเช้า หรือจะดื่มแทนน้ำเปล่าระหว่างวันก็ได้เช่นกัน

  1. น้ำยี่หร่า

น้ำยี่หร่านั้นมีประโยชน์อย่างมากในการลดน้ำหนัก ซึ่งเครื่องดื่มนี้ช่วยปรับกระบวนการเผาผลาญของคุณได้ นอกจากนี้น้ำยี่หร่า ยังช่วยลดความหิวและเพิ่มการเผาผลาญไขมัน เพียงแช่เมล็ดยี่หร่า 1 ช้อนโต๊ะลงในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ข้ามคืน กรองเอากากเมล็ดยี่หร่าออกแล้วดื่มทุกเช้า หรือถ้าไม่อยากกรอกออก คุณจะดื่มน้ำยี่หร่าแล้วเคี้ยวเมล็ดยี่หร่าไปด้วยก็ได้

บทความ https://www.sanook.com/health/28445/