Posted on

คัน…คัน…คัน…สารพัดปัญหาคันแก้ได้ด้วย ครีมสมุนไพรบรรเทาอาการคัน ตรา ไนน์ เฮิร์บ

ว่าด้วยเรื่องอาการคัน
บางครั้งอยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกคัน ยิบ ๆ ไม่รู้สาเหตุ แต่มันก็มีสาเหตุนั่นล่ะ แต่เราไม่รู้
ลองนึกดู “คัน” มีหลายแบบ
คัน…แบบผิว ๆ แต่ไม่มีรอยอะไร
คัน…จากตุ่มแดง  ตุ่มเม็ดมีน้ำใส ๆ
คัน…เป็นผื่นแดงทั้งนูน และไม่นูน
คัน…จากรอยแห้งแตก เป็นขุย ยิ่งเกายิ่งคัน
คัน…จากแมลงสัตว์กัดต่อย
คัน…จากการแพ้น้ำยาต่าง ๆ ทั้งน้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน 
คัน…จากแพ้เครื่องสำอาง ครีมทาผิว สบู่
คัน…จากการติดเชื้อหิด เชื้อรา เป็นกลาก เกลื้อน
บางคนมีโรคประจำตัวก่อทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน เช่นโรคเบาหวาน ไทรอยด์ โรคตับ โรคไต
โรคมะเร็ง

คนเรามีอาการ “คัน” ได้ง่ายมาก เรามาทำความรู้จักอาการ “คัน” ให้มากขึ้น

อาการคัน (Pruritus) เป็นกลุ่มอาการทางผิวหนังที่พบได้บ่อย อาจเป็นเฉพาะที่ หรือเป็นทั่วร่างกายก็ได้ โดยอาจมีผื่นผิวหนังร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้  และอาจส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ เช่น ทำให้เสียสมาธิ รบกวนการทำงาน การนอน หรือส่งผลเสียทางด้านจิตใจ  หากคันและมีการแกะเกาด้วย อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบริเวณผิวหนังตามมาได้ด้วย

ชนิดของอาการคัน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. อาการคันเฉียบพลัน  มีอาการคันเป็นมาไม่เกิน 1 สัปดาห์
2. อาการคันเรื้อรัง มีอาการเป็นมานานเกิน 1 สัปดาห์ถึงหลายเดือน

6 สาเหตุอาการคัน

1.โรคผิวหนังที่ซ่อนอยู่เดิม
   อาการคันยิบ ๆ บางครั้งอาจมีผื่นร่วมด้วย เช่น ลมพิษ ผื่นผิวหนังอักเสบ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ถ้าเกาบ่อยก็จะทำให้เกิดอาการคันมากขึ้น และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

2.โรคติดเชื้อทางผิวหนัง
   โรคหิด เกิดจากการติดเชื้อหิด จะมีอาการคันมากโดยเฉพาะตอนกลางคืน อาการคันและผื่นเกิดจากปฎิกิริยาไวเกินของร่างกายต่อตัวหิดและสิ่งขับถ่ายของหิด ผื่นของหิดนั้นจะพบบ่อยตามง่ามมือ ง่ามเท้า รักแร้ และรอบสะดือ และติดต่อง่าย
  กลาก เกลื้อน เกิดจากเชื้อรา  โดยเกลื้อนจะพบได้บ่อยตรงหลังส่วนบน หน้าอก และต้นแขน ต้นคอ ซึ่งทำให้เกิดอาการคันยิบๆบริเวณนี้ได้ ส่วนกลากนั้น ติดได้ทุกบริเวณ รวมถึงหนังศีรษะ

3. การระคายเคือง
    จากการแพ้เครื่องสำอาง สบู่ น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม รวมไปถึงเนื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ล้วนเป็นสาเหตุของอาการคันได้

4. ภาวะผิวแห้ง
    ผิวแห้งนั้นพบบ่อยตั้งแต่ช่วงวัยทำงานขึ้นไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ยิ่งถ้าเป็นคนที่ชอบอาบน้ำอุ่น และใช้สบู่ก้อน ผิวก็จะแห้งได้ง่าย ซึ่งจะทำให้เกิดอาการคันตามมาได้ง่าย การรักษาควรปรับ ให้อาบน้ำด้วยน้ำอุณหภูมิธรรมดา สบู่เหลวที่อ่อนโยน และหมั่นทาครีมบำรุงผิวสม่ำเสมอ

5.โรคบางชนิดที่ซ่อนอยู่
    โรคบางอย่างทำให้เกิดอาการคันร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ โรคตับ โรคไต และมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคกลุ่มนี้มักมีอาการคันยิบ ๆ  เรื้อรัง โดยที่ไม่มีผื่นชัดเจน

6. การใช้ยาบางชนิด
     ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ ยาต้านมาลาเรีย ยาปฏิชีวนะ ยากันชัก ยากลุ่มนี้สามารถทำให้เกิดอาการคันยิบๆ โดยที่ไม่มีอาการทางผิวหนังอื่นๆได้

โรคทางผิวหนังที่ก่อให้เกิดอาการคันอีกแบบหนึ่งคือ “ผื่น” เป็นลักษณะอาการทางผิวหนัง ที่เกิดจากสภาวะของร่างกายปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ หรือที่เรียกว่าอาการแพ้ เช่นแพ้อากาศที่เปลี่ยนไป แพ้สารเคมีจากการใช้ชีวิตประจำวัน  ทำให้เกิดความระคายเคืองผิวและทำให้เกิดผื่นคันได้  นอกจากนี้ ผื่น ยังเป็นสัญญาณของร่างกายที่บ่งบอกอาการป่วยภายในอะไรบางอย่างด้วย ดังนั้น เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างผื่นคัน ผื่นแพ้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

ผื่นคัน ผื่นแพ้ 6 แบบ ที่ไม่ควรมองข้าม
ผื่นแบบที่ 1 >> ผื่นคันแดงตามตัว Exanthematous (Morbilliform)
เป็นผื่นคันที่พบได้ทั่วทั้งตัว และพบได้บ่อย โดยผิวหนังบริเวณที่มีอาการจะเป็นผื่นแดง ๆ หรือตุ่มใส และมีอาการคันบางครั้งอาจมีการตกสะเก็ดตามมา  สาเหตุของผื่นคันแบบนี้มาจากหลายรูปแบบ เช่น เกิดจากโรคผิวหนัง การติดเชื้อบางอย่าง แมลงสัตว์กัดต่อย แพ้ฝุ่น แพ้ยา ตลอดจนการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง เช่น น้ำยาทำความสะอาด เครื่องสำอาง  นอกจากนี้การพักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะเครียด อาจเป็นสาเหตุทำให้ผื่นคันดังกล่าวเป็นมากขึ้นได้

ผื่นแบบที่ 2 >> ผิวหนังอักเสบชนิดตุ่มน้ำ (Dyshidrotic Eczema)
เป็นผื่นผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่มักจะเป็นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ โดยผื่นจะมีลักษณะเป็นตุ่มใส ๆ แข็งๆ เกิดที่ฝ่ามือฝ่าเท้า หรือด้านข้าง ๆ นิ้วมือหรือ นิ้วเท้า  ผื่นชนิดนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ ภาวะการระคายเคือง หรือ การแพ้สารสัมผัสก็ได้ ส่วนใหญ่มีอาการคันร่วมด้วย และน้ำใส ๆ ในตุ่มหรือผื่น อาจจะกลายเป็นหนองจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้ แล้วลอกเป็นแผ่นในที่สุด 

ผื่นแบบที่ 3 >> ผื่นลมพิษ หรือโรคลมพิษ (Urticaria)
มักมีอาการคันร่วมด้วย  ลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีทั้งผื่นคันขนาดเล็กและแบบที่ใหญ่ราว 10 ซม. มักลุกลามเร็ว โดยจะกระจายตามตัว แขนขา แต่จะปรากฏอยู่เพียงชั่วขณะ โดยมากมักไม่เกิน 24 ชั่วโมง ผื่นลมพิษเหล่านั้นก็จะราบไปโดยไม่มีร่องรอย สามารถเกิดขึ้นซ้ำได้บ่อย ๆ

ผื่นแบบที่ 4 >> ผื่นแดงที่มีลักษณะเป็นเส้นใยเล็กๆ (Livedo Reticularis)
ผื่นชนิดนี้พบได้ไม่บ่อย สาเหตุเกิดจากโรคหลอดเลือดอักเสบ ทำให้ระบบไหลเวียนของเส้นเลือดผิดปกติ อาจมีลักษณะเป็นผื่นนูนเป็นจ้ำเลือด ที่เรียกว่า Purpura หรือผื่นลายร่างแหที่เรียกว่า Livedo Reticularis ตลอดจนมีตุ่มกดเจ็บใต้ผิวหนัง  ผื่นแบบนี้อาจเกิดเป็นแผลเรื้อรัง และอาจจะมีการตายของเนื้อเยื่อได้ หากเกิดการขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลาย เช่น ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ใบหูหรือปลายจมูก เป็นต้น หากเป็นผื่นชนิดนี้ ต้องรักษาโดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น

ผื่นแบบที่ 5 >> ผื่นมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (Vasculitis)
ส่วนใหญ่พบบริเวณที่ขา และอาจกระจายทั่วทั้งขา เป็นอาการที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยอักเสบ ลักษณะอาการมีหลายรูปแบบ เช่น เกิดตุ่มแดงนูน กดแล้วสีแดงไม่จาง ตุ่มพองมีเลือดออกข้างในแตกเป็นแผล เป็นผื่น สีม่วงแดง ผื่นเป็นร่างแหหรือคล้ายว่ามีตาข่ายเส้นเลือดอยู่ใต้ผิว 
ผื่นแบบจุดเลือดที่เป็นร่างแหนี้มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน อาจเกิดจากการที่ผู้ป่วยเป็นโรคออโตอิมมูน เช่น โรคเอสแอลอี โรคติดเชื้อ เช่น วัณโรค เชื้อแบคทีเรียบางประเภท เชื้อไวรัสตับอักเสบ ซึ่งการรักษาผื่นชนิดนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

ผื่นแบบที่ 6 >> ผื่นมีตุ่มใส พอง เหมือนมีน้ำอยู่ข้างใน (Vesiculobullous Eruption)
มีลักษณะเป็นตุ่มที่มีน้ำใส ๆ อยู่ข้างใน สังเกตเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่ผื่นเล็กๆ แต่พบกระจายอยู่ตามตัวโดยทั่วไป อาจมีสาเหตุ ดังนี้
1) ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อต้านตนเอง ทำให้ผิวหนังเกิดการแยกชั้น และมีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง และที่บริเวณเยื่อบุต่าง ๆ
2) เกิดจากพันธุกรรม
3) เกิดจากการติดเชื้อบางชนิด  เช่น โรคเริมและโรคอีสุกอีใส
4) การสัมผัสกับสารที่ก่อการระคายเคือง ไม่ว่าจะเป็นสารเคมี หรือเกิดจากการได้รับการเสียดสีจนมีอาการคัน เมื่อได้สัมผัสกับสิ่งกระตุ้นทางกายภาพ ในระดับที่รุนแรงขึ้น จึงทำให้เกิดตุ่มพองใส หรือตุ่มน้ำที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน
5) ภาวะผิดปกติอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง เช่น โรคเบาหวาน โรคอะไมลอยด์โดสิส (Amyloidosis) และโรคพอร์ไฟเรีย (Porphyria)

หลักการรักษาอาการคัน          

          1. การรักษาแบบจำเพาะ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุของอาการคันให้พบ และหลีกเลี่ยงหรือกำจัดสาเหตุดังกล่าว
            – การใช้ยาทาประเภทสเตอรอยด์หรือยาทาลดการอักเสบชนิดอื่นๆ ในผู้ป่วยที่มีสาเหตุของอาการคันจากผื่นผิวหนังอักเสบ
            – การใช้ยาทากำจัดเชื้อรา หรือเชื้อหิด ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อดังกล่าวที่ผิวหนัง
            – แพทย์อาจพิจารณาให้ยาที่จำเพาะต่ออาการคันจากโรคบางชนิด เช่น ภาวะดีซ่าน โรคไตวายเรื้อรัง หรือจากสาเหตุทางระบบประสาท
            – ในผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะเครียดหรือมีอาการคันจนนอนไม่หลับ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านภาวะซึมเศร้า

         2. การรักษาประคับประคอง เพื่อระงับอาการคัน ได้แก่
            – ยาต้านฮิสตามีนชนิดรับประทาน ซึ่งมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่ง่วงและไม่ง่วง การจะเลือกใช้ยาต้านฮิสตามีนตัวใดขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ โดยแพทย์จะปรับยาตามความเหมาะสม ทั้งต่อตัวโรคและการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละราย
            – การใช้ยาทาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนัง ในผู้ป่วยที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง และผู้ป่วยที่มีผิวแห้ง
            – การฉายแสงอาทิตย์เทียม (phototherapy) ซึ่งใช้ในบางภาวะ เช่นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง สะเก็ดเงิน และภาวะไตวายเรื้อรัง ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบปกติ
            – พฤติกรรมบำบัด เพื่อลดอาการเครียด และควบคุมพฤติกรรมการเกา

การปฏิบัติตัวในผู้ป่วยที่มีอาการคัน
            – ตัดเล็บให้สั้น
            – หลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณผิวหนัง เนื่องจากจะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบหรือการติดเชื้อแบคทีเรีย และโรคอาจเป็นมากขึ้นได้
            – ใช้สบู่อ่อนๆ ใช้โลชั่นทาผิว เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
            – หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าขนสัตว์ ผ้าเนื้อหยาบ หรือใยแก้ว ซึ่งอาจระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดอาการคันเพิ่มมากขึ้นได้ ควรใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่รัด
            – ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด
            – ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อควบคุมอาการคัน และรักษาโรคที่เป็นสาเหตุของอาการคัน

 การพยากรณ์โรค
            ภาวะคันสามารถดีขึ้น ควบคุมได้ หรือหายเป็นปกติได้ ในกรณีที่สามารถหาสาเหตุของอาการคันได้ชัดเจน  อาการคันจากบางสาเหตุอาจเป็นมากขึ้น เมื่อมีตัวกระตุ้นเช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รอยโรคมักกำเริบในช่วงหน้าหนาว  ผู้ป่วยที่มีอาการคันจากโรคทางระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ภาวะไตวายเรื้อรัง การพยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยของตัวโรคเอง และปัจจัยจากภายนอก ซึ่งอาการคันมักจะเป็นเรื้อรัง

 บรรเทาอาการคันด้วย ครีมสมุนไพรบรรเทาอาการคัน ตราไนน์ เฮิร์บ

ไม่ว่าจะคันจากสาเหตุใด บรรเทาอาการคันอย่างได้ผลด้วย ครีมสมุนไพรบรรเทาอาการคัน ตราไนน์เฮิร์บ ช่วยรักษาอาการจากโรคผิวหนังเรื้อรัง ผิวหนังเป็นผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ คันจากน้ำเหลืองเสีย คันจากโรคเบาหวาน ผื่นคันจากลมพิษ แก้ผิวอักเสบช้ำบวม อาการคันอักเสบ ปวด แดง ร้อนจากมดแมลงกัดต่อย มีส่วนผสมจากสมุนไพรสกัดแบบเข้มข้น ได้แก่

1. เหง้าขมิ้นชันแห้ง
ช่วยรักษาอาการโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ช่วยรักษาอาการปวดหรืออักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ

2. ใบทองพันชั่งแห้ง
รักษาผื่นคัน และโรคผิวหนงัที่เป็นน้ำเหลืองบางชนิด

3. ใบพลูแห้ง
รักษาอาการผื่นคันอันเนื่องมาจากเกิดลมพิษ

4. เหงือกปลาหมอแห้ง
รักษาโรคผิวหนัง ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย รักษาโรคผิวหนังผื่นคัน

5. ใบชุมเห็ดเทศแห้ง
รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคัน หรือมีอาการคันบริเวณหนังศีรษะ

6. เหง้าว่านนางคำแห้ง
ใช้แก้แมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการเม็ดผื่นคัน โรคผิวหนังต่าง ๆ และฟกช้ำบวมตามร่างกาย

7. ใบเทียนกิ่งแห้ง
แก้น้ำเหลืองเสีย สมานบาดแผลแก้อ้กเสบช้ำ

8. ใบพญายอแห้ง
รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน ลดอาการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน จากแมลงกัดต่อย

9. ใบเสลดพงัพอนตัวผู้แห้ง
แก้ลมพิษ แก้ไฟลามทุ่ง แก้พิษแมลงสัตวกัดต่อย แผลฟกช้ำจากการกระแทก แผลมีเลือดออก

10. Menthol (เกล็ดสะระแหน่)
เป็นสารสกัดจากน้ำมันสะระแหน่ ใช้เป็นยาภายนอกเกี่ยวกับอาการปวดเมื่อย ฆ่าเชื้อ แก้บวม ลดอาการผื่นคัน
แก้พิษแมลงกัดต่อย

11. Camphor (การบูร)
ใช้ผสมในยาหม่อง ยาขี้ผึ้ง ยาครีมทาแก้เคล็ดบวม ขัดยอกแพลง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยและโรคผิวหนังเรื้อรัง

*ผลิตจากโรงงานมาตรฐานสากล ด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ดึงสารสกัดสมุนไพรได้อย่างมีคุณภาพ และปราศจากสารสเตียรอยด์
จึงมั่นใจเรื่องความปลอดัยได้

Posted on

ทำไมทุกบ้านต้องมี….“ซีไนน์  คอมพาวด์ไทยเฮอร์บอลครีม”

ใครไม่เคยมีอาการ “ปวดเมื่อย” ยกมือขึ้น!!! พอฟังคำถามนี้ก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่า จะมีใครบ้างหรือไม่ ที่ไม่เคยมีอาการปวดเมื่อยเลย ทุกคนผ่านอาการปวดเมื่อยมาทั้งนั้น ตั้งแต่เด็ก ๆ เรียนพละก็มักจะปวดเมื่อยเสมอ ๆ จนถึงวัยทำงาน ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็มีโอกาสปวดเมื่อยได้ทุกอาชีพ อยู่บ้านทำงานบ้านก็ปวดเมื่อยได้ง่ายเหลือเกิน แม้จะไม่ได้ทำอะไร นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เฉยๆ ก็ปวดเมื่อยขึ้นมาได้

สาเหตุของอาการปวดเมื่อย
1. การใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนักเป็นเวลานาน
2. การผิดปกติทางกาย เช่น หลังงอ น้ำหนักมาก
3. ท่าทางในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ยกของหนักผิดท่า การนั่ง การนอน การเดิน การยืน การกระโดด การวิ่ง การหมุน ที่
ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเร็วเกินไป หรือมีแรงกระแทกแรงเกินไป
4. อายุที่มากขึ้น เป็นเหตุให้เกิดการเสื่อมของร่างกายได้
5. โรคที่อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือจากพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้อง
6. ความเครียด ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อคอบ่า เกิดการเกร็งตัวเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จนอาจจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าเกิด
จุดกดเจ็บ หรืออาจจะทำให้มีอาการปวดเมื่อยบริเวณคอบ่าได้ โดยสามารถทำให้เกิดอาการชาร้าวลงไปบริเวณต่างๆ ของ
ร่างกายได้อีกด้วย

คุณอาจจะมีอาการปวดสักอย่าง คงรู้ดีว่ามันทรมาน หรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
อาการปวดเมื่อยลักษณะต่าง ๆ
1.อาการปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดหลังหรือเอว
2. อาการปวดตามข้อต่อต่างๆ
3.โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
4.อาการปวดกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ตึง
5. อาการปวดมือและชาตามนิ้วมือ (นิ้วล็อค)
6.  อาการปวดไหล่ร้าวชาลงแขน

ครีมนวดสมุนไพร “ซีไนน์ คอมพาวด์ไทยเฮอร์บอลครีม” ช่วยทุกอาการปวดเมื่อย

ผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ ด้วยการบีบโมเลกุลเล็กละเอียด เพื่อให้ตัวยาซึมลงใต้ผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว
ไม่เหนียวเหนอะหนะ ส่วนผสมสูตรลูกประคบ ที่ยังคงรักษาคุณค่าของสารสกัดสมุนไพร เหมือนการใช้ลูกประคบ
จากสมุนไพรสด นอกจากนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้าน ตำรับยาแผนโบราณ

ครีมนวดสมุนไพร “ซีไนน์ คอมพาวด์ไทยเฮอร์บอลครีม” มีส่วนผสมหลักจากสมุนไพรไทยที่สกัดด้วยนวัตกรรมทันสมัย
จึงได้คุณค่าจากสมุนไพรอย่างเขัมข้น พร้อมได้กลิ่นหอมสดชื่นเหมือนการใช้ลูกประคบ แต่มีความสะดวกกว่ามาก
เก็บใช้ได้นานไม่เสียง่ายเหมือนลูกประคบสด
สารสกัดสมุนไพร 7 ชนิด ได้แก่
1. ผิวมะกรูด ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย
2. หัวไพลสด ช่วยบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก
3. ใบส้มป่อย แก้อาการเส้นเอ็นพิการ ขัดยอก อักเสบ แก้โรคผิวหนัง
4. ต้นตะไคร้หอม บรรเทาอาการปวดตัว ปวดข้อ
5. ใบมะขามไทย รักษาผดผื่นคันตามร่างกาย
6. เหง้าขมิ้น ช่วยประสานเส้นเอ็น ลดอาการปวด ไขข้ออักเสบ
7. เกล็ดสะระแหน่ ลดอาการปวดเกร็งของกล้มเนื้อ กลิ่นหอมคลายเครียด

Posted on

ปัญหาสิว…ที่ไม่ใช่เรื่องสิว ๆ ผิวใส…ไร้สิว ใช้ซีไนน์แอคเน่

6 ปัจจัยกระตุ้นการเกิด “สิว”

  1. กรรมพันธุ์
    กรรมพันธุ์มีผลต่อการเกิดสิวด้วย ดูจากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีสิวในช่วงวัยรุ่น  ลูกก็อาจมีสิวคล้ายคุณพ่อหรือคุณแม่เช่นกัน
  2. แบคทีเรีย
    ภายหลังจากการอุดตันของคอมีโดน สิวที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นในลักษณะของสิวอุดตัน แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย
    ที่มีชื่อว่า Propionibacterium acnes ซึ่งมีชื่อย่อว่า P.acne (พี แอคเน่) จากสิวอุดตันที่เป็นอยู่ก็อาจพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ได้
  3. ฮอร์โมน
    ปริมาณฮอร์โมนที่ไม่สมดุลภายในร่างกาย เช่น เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพศชาย (Androgens) มากขึ้น ที่ชื่อว่าฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ซึ่งสามารถกระตุ้นการผลิตไขมันในต่อมไขมันให้ผลิตไขมันส่วนเกิน (Seborrhea) เพิ่มมากขึ้น ผิวหน้าของหนุ่มสาวในช่วงวัยนี้จึงมีความมันเยิ้มมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่สามารถนำไปสู่การเกิดสิวได้
  4. อาหาร & เครื่องดื่ม
    อาหารบางชนิดจะไปทำให้ระดับฮอร์โมนในเลือดมากเกินไป และไปทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น อาจจะส่งผลกระทบหรือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวได้ อาหารที่กระตุ้นการเกิดสิว เป็นอาหารที่มีน้ำมัน ของทอด กลุ่มอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง คือ อาหารที่มีน้ำตาลสูงอย่างอาหารเครื่องดื่มที่มีรสหวาน ขนมปังขาว ข้าวขาว มันฝรั่ง ช็อกโกแลต ผลไม้บางชนิด เช่นแตงโม มะม่วง ขนุน ลำไย มะละกอ เป็นต้น
  5. เครื่องสำอาง
    เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงหน้าที่ไม่มีคุณภาพ หรือมีสารอันตรายผสมอยู่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือไม่เหมาะกับสภาพผิว ซึ่งอาจทำให้ผิวแพ้จนเกิดสิวกำเริบได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายต้องระวังในเรื่องของผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าเป็นพิเศษ เพราะบริเวณผิวหน้าเป็นบริเวณที่บอบบาง ง่ายต่อการถูกทำร้าย
  6. นอนหลับไม่เพียงพอ & เครียด
    เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงหน้าที่ไม่มีคุณภาพ หรือมีสารอันตรายผสมอยู่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือไม่เหมาะกับสภาพผิว ซึ่งอาจทำให้ผิวแพ้จนเกิดสิวกำเริบได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายต้องระวังในเรื่องของผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าเป็นพิเศษ เพราะบริเวณผิวหน้าเป็นบริเวณที่บอบบาง ง่ายต่อการถูกทำร้าย

    สิว” เกิดได้อย่างไร ?
    สิว (acne) เกิดจากการอุดตันของ คอมีโดน (comedone) ภายในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาบนใบหน้า ทั้งนี้หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียก็จะทำให้ลุกลามกลายเป็นสิวอักเสบได้ และหากมีอาการรุนแรงมาก ก็จะนำไปสู่ปัญหารูขุมขนกว้าง จนกลายเป็นหลุมสิวในที่สุด
    คอมีโดน คืออะไร ?
    คือสารที่มีลักษณะเหนียว ที่เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำมัน + ขนอ่อน + เซลล์ผิวหนังหลุดลอก + แบคทีเรีย ซึ่งหากมีการสะสมของสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นก้อนคอมีโดน ก่อนจะเกิดเป็นสิวลักษณะต่างๆ ตามมา

    สิว” มีกี่ประเภท ?
    เพื่อให้การดูแลรักษาสิวได้ผล ต้องเข้าใจก่อนว่าสิวมีกี่ประเภท เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ต้องทำความเข้าใจกระบวนการเกิดสิว
    4 step ดังนี้

Step 1 ภาวะผิวหนังผลิตไขมันมากผิดปกติ เกิดสิวอุดตันเริ่มแรก
โดยปกติต่อมไขมันจะหลั่งน้ำมัน เพื่อกักเก็บความชุ่มชิ้นใต้ผิว ซึ่งโดยคนที่เป็นสิวง่ายมีแนวโน้มจะมีฮอร์โมนแอนโดรเจนในเลือดสูง ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณมากกว่าปกติ ก่อให้เกิดการสะสมน้ำมันบนผิวหนัง และทำให้ต่อมไขมันอุดตัน ส่งผลให้เกิดสิว

Step 2 ภาวะชั้นผิวก่อตัวหนาขึ้นผิดปกติ (Hyperkeratosis) เกิดสิวอุดตันระยะหลัง
เกิดจากการก่อตัวหนาขึ้นผิดปกติของผิวชั้นนอก ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตเซลล์ผิวในต่อมไขมันมากกว่าปกติ ทำให้การหลุดออกของเซลล์ผิวไม่เป็นไปตามธรรมชาติอีกทั้งยังมีไขมันส่วนเกินดักจับเซลล์ที่ตายแล้วเหล่านี้ไว้บนผิวหนังจนทำให้เกิดการอุดตัน อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ชั้นผิวก่อตัวหนาขึ้นนั่นคือ แบคทีเรีย Propionibacterium acnes (หรือ P.acnes) โดยแบคทีเรีย P.acnes จะสร้างแผ่นฟิล์มบางๆ บนผิวหนังซึ่งจะขัดขวางกระบวนการหลุดลอกของชั้นผิวหนังตามปกติและก่อให้เกิดการอุดตัน

Step 3 แบคทีเรียกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ เกิดสิวอักเสบ
การสะสมของไขมันที่หลั่งออกมาจากต่อมไขมัน กลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีสำหรับแบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรีย P.acnes แบคทีเรียชนิดนี้จะเข้ามาอาศัยอยู่ในต่อมไขมันที่มีการอุดตัน เพื่อย่อยสลายไขมันไปเป็นอาหาร กระบวนการนี้ก่อให้เกิดสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดสิวชนิดตุ่มนูนแดงและสิวหัวหนองขึ้นได้

Step 4 การอักเสบลุกลามมากขึ้น เกิดสิวอักเสบรุนแรง
แบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรีย P.acnes มีการเจริญเติบโตมากขึ้น ไม่มีการควบคุมดูแลรักษาที่ดี เกิดการลุกลามมากขึ้น มีการอักเสบอย่างรุนแรง เกิดเป็นสิวอักเวบขนาดใหญ่ และสิวหัวช้าง

“สิว” มี 2 ประเภท

ตามกระบวนการเกิดสิว 4 Step แบ่งสิวเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. สิวอุดตัน (Step 1-2)
1.1 สิวหัวดำ (Black heads)
       สิวชนิดนี้เรียกว่า สิวอุดตันหัวเปิด หรือ สิวหัวดำ มีลักษณะเป็นตุ่มนูน เม็ดเล็กๆ มีรูเปิดออกจนเห็นหัวสิว และมองเห็นจุดสีดำอยู่บริเวณตรงกลาง ซึ่งจุดสีดำเกิดจากน้ำมัน (Sebum) ทำปฏิกิริยา oxidation กับออกซิเจนในอากาศ เปลี่ยนไขมันเป็นสีดำ
1.2 สิวหัวขาว (White heads)
        สิวอุดตันหัวปิด หรือเรียกกันว่า สิวหัวขาว มีลักษณะเป็นตุ่มนูน สิวยังไม่มีรูเปิด จึงทำให้ดันผิวจนนูนขึ้นมา เมื่อใช้มือลูบจะรู้สึกเหมือนมีไตก้อนเล็กๆ บีบออกยาก เพราะรากสิวลึก สิวประเภทนี้เมื่อปล่อยไว้นานๆ จะขยายขนาดขึ้น และมีโอกาสกลายเป็นสิวอักเสบชนิดต่างๆ ได้สูง

2. สิวอักเสบ (Step 3-4)
2.1 สิวตุ่มนูนแดง (Papule)
สิวตุ่มแดง เป็นตุ่มแดงเจ็บ ขนาดเล็ก ไม่เกิน 0.5 ซม. ส่วนมากสิวชนิดนี้เป็นสิวอักเสบในระยะแรกที่พัฒนามาจากสิวอุดตัน ขนาดจะเล็กกว่าสิวแบบ Nodular Acne และไม่มีอาการเจ็บเท่าไหร่
2.2 สิวหัวหนอง (Pustule)
มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและปวด ข้างบนตุ่มมีหัวหนองสีเหลือง เป็นสิวที่มีอาการอักเสบมากกว่าสิวอักเสบชนิด Papule หรืออาจเกิดจากสิวมีการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นแทรกซ้อน
2.3 สิวอักเสบขนาดใหญ่ (Nodular Acne)
ลักษณะเป็นตุ่มสีแดงขนาดใหญ่ (ขนาดเกิน 0.5 ซม.) อยู่ใต้ผิวหนัง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ
2.4 สิวหัวช้าง (Acne Conglobata)
สิวอักเสบชนิดรุนแรง ขึ้นรวมกันหนาแน่น หัวสิวมักแตก มีหนองเยอะ และมีเลือดไหลเยอะ สิวมักมีจำนวนมากที่ใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง

การดูแลรักษาสิว

ปัญหาสิวไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะสิวอุดตันเพียงหนึ่งจุด ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ การดูแลรักษาสิวตอนที่ยังเป็นน้อยๆ จะช่วยป้องกันการลุกลามของสิวและหลุมสิวได้ดี ทั้งนี้ข้อสำคัญในรักษาสิวให้ได้ผลนั้น เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าตนเองเป็นสิวประเภทใด ซึ่งการสังเกตลักษณะหรืออาการต่างๆ ล้วนมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการหาแนวทางในการรักษา ไม่ว่าจะเป็นวิธีการรักษา ระยะเวลาในการรักษา หรือแม้แต่ผลข้างเคียงของการรักษา

“สิวอุดตัน” ใช้ “ซีไนน์ แอคเน่ ครีม”

“สิวอักเสบ” ใช้ “ซีไนน์ แอคเน่ เจล”

ซีไนน์ แอคเน่ครีม / ซีไนน์ แอคเน่เจล … เพื่อผิวใส ไร้สิว

ลดการเกิดสิว

ควบคุมความมัน ลดการอุดตัน อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว

ลดรอยสิว

ลดการอักเสบ ซ่อมแซมผิวชั้นใน ลดการสร้างเม็ดสี

ลดรอยแผลเป็น

Centella Asiatica กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลาย ทำให้หลุมสิวเรียบเนียน

กระชับรูขุมขน

สร้างเคราตินเพื่อเป็นเกราะป้องกันผิวหนัง และช่วยกระชับรูขุมขน

คลิ๊กที่นี่เพื่อสั่งซื้อ ซีไนน์ แอคเน่ครีม
https://sbuyzone.com/product/c9-acne-cream-

คลิ๊กที่นี่เพื่อสั่งซื้อ ซีไนน์ แอคเน่เจล
https://sbuyzone.com/product/acne-gel

Posted on

สารพันปัญหาผมขาว กับการใช้แชมพูปิดผมขาวที่ง่ายและปลอดภัย

“ผม” เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ขึ้นมาจากหนังศีรษะ แต่ “ผม” ยังเป็นมากกว่าส่วนหนึ่งของอวัยวะของร่างกาย เพราะ”ผม” ยังบ่งบอกถึงลักษณะ บุคลิกภาพ หรืออาจสื่อถึงนิสัยของคน ๆ นั้นได้ด้วย

โดยทั่วไปทุกคนจะให้การดูแลเอาใจใส่หรือบำรุงเส้นผมให้ดูดีอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่การสระผมทำความสะอาด ใช้ครีมนวด หรือครีมบำรุงผม ทำทรีทเมนต์สูตรต่าง เพื่อให้ผมแลดูนุ่มสลวย เงางาม มีน้ำหนัก แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของ “ผม” ที่หลายคนเป็นและพยายามหาวิธีแก้ไข แต่ก็ทำให้กลับมาดีได้ยากก็คือปัญหา “ผมขาว” หรือ “ผมหงอก” ทั้งที่เป็นก่อนวัยอันควร หรือเป็นตามวัยที่มีอายุมาก ก็มักทำให้เกิดความกังวลหรือขาดความมั่นใจไปมากทีเดียว
ลองมาหาคำตอบและการแก้ไขปัญหาผมขาว ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการดูแลผมของแต่ละคนกันดีกว่านะคะ

สาเหตุของการเกิดผมขาว (ผมหงอก)
1. อายุ
เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์เมลาโนไซต์หยุดสร้างเม็ดสี หรือสร้างน้อยลง จึงทำให้ผมเป็นสีเทา หรือสีขาว ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผมจะเริ่มหงอกในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป และจะเริ่มหงอกอย่างน้อยครึ่งศีรษะในช่วงอายุประมาณ 55 ปี
2. พันธุกรรม
การเกิดผมขาวก่อนวัย อาจเกิดจากพันธุกรรม แต่ละเชื้อชาติอาจมีผมขาวก่อนวัยในอายุที่ต่างกัน เช่น คนผิวขาวผมอาจเริ่มขาวได้เมื่อายุ 20 ปี หญิงสาวชาวเอเชียอาจจะมีผมขาวได้ในอายุ 25 ปี และ คนแอฟริกันและอเมริกันอาจมีผมขาวได้เมื่อายุ 30 ปี
3. ขาดสารอาหารและวิตามิน
การขาดวิตามินและสารอาหารบางอย่างเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาผมขาว ได้แก่ วิตามินบี 6, บี 12, ไบโอติน, วิตามินดีหรือวิตามินอี อาจทำให้เกิดอาการหงอกก่อนวัยได้ หากเกิดจากการขาดวิตามิน สามารถแก้ไขให้ผมกลับมาสภาพเดิมได้ ด้วยการเสริมวิตามิน
4. การเจ็บป่วย
ในทางการแพทย์มีโรคบางอย่างที่เป็นสาเหตุทำให้ผมขาว เช่นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้ผมหงอกมากขึ้น หรือโรคโลหิตจาง ก็ทำให้ผมหงอกได้ เพราะเลือดไปหล่อเลี้ยงเส้นผมไม่พอ ยาบางชนิดก้อาจทำให้ผมหงอกได้
5. การสูบบุหรี่
จากการศึกษาพบว่าคนที่สูบบุหรี่ มีแนวโน้มการเกิดผมขาวก่อนวัย รวมถึงทำให้สภาพผิวหนังทรุดโทรมอีกด้วย
6. สารเคมี
สารเคมีทุกอย่างที่ใช้กับเส้นผม เช่น สารเคมีสำหรับย้อมผม หรือแม้แต่แชมพูสระผม ก็สามารถทำให้เกิดผมขาวก่อนวัยได้ หากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีส่วนผสมที่เป็นอันตราย ทำให้ลดเมลานินลง อีกทั้งไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ซึ่งอยู่ในสีย้อมผมก็เป็นสารเคมีอันตรายชนิดหนึ่ง
7. ความเครียด
ความเครียดสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุล เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอก็อาจจะทำให้เกิดผมขาวได้เพราะสูญเสียการทำงานของเซลล์
8. เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ตกใจหรือเสียใจสุดขีด
การตกใจ หรือเสียใจสุดขีดทำให้เซลล์รากผมจะหยุดเจริญเติบโตไปชั่วขณะ ผมจะร่วงเป็นกระจุก และหงอกขาวภายในไม่กี่วัน

จะป้องกันผมหงอกได้อย่างไร
ผมหงอกไม่สามารถป้องกันได้ เพราะเป็นความเสื่อมตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น แต่สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ผมหงอกก่อนวัยได้โดย
1. ทานอาหารที่มีประโยชน์
เริ่มจากทานอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่ เพิ่มการทานอาหารที่ช่วยบำรุงผมให้มากขึ้น เช่น โปรตีน ได้จากเนื้อ นม ไข่ ทานแล้วช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ไม่ขาดร่วงง่าย, วิตามินบีได้จากผักใบเขียว ธัญพืช โยเกิร์ต ช่วยให้ผมเงางามชุ่มชื่น, วิตามินเอ ได้จากผักใบเขียว ผลไม้สีเหลืองและส้ม ช่วยให้หนังศีรษะและเส้นผมมีสุขภาพแข็งแรง เป็นต้
นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ช่วยชะลอผมหงอก ได้แก่
ว่านหางจระเข้
เป็นอาหารสำหรับบำรุงผมให้สวยจากภายนอก โดยใช้วุ้นว่านหางจระเข้ชโลมให้ทั่วศีรษะ แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นจึงล้างออกให้สะอาด ซึ่งจะช่วยบำรุงผมและหนังศีรษะ ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม ทั้งยังรักษาแผลบนหนังศีรษะได้อีกด้วย
ถั่วดำ
มีกรดโฟลิกสูง ซึ่งช่วยชะลอยับยั้งผมหงอกได้ดี นอกจากนี้ยังมีการนำเอาถั่วดำมาหมักผม โดยผสมกับน้ำส้มสายชูกลั่นแล้วเคี่ยวจนได้ที่ จากนั้นนำมาหมักผม เน้นบริเวณที่มีผมหงอก ก็จะช่วยให้ผมกลับมาดำเหมือนเดิมได้
ข้าวกล้อง
อุดมไปด้วยโปรตีน กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย กรดแพนโทเทนิก หรือวิตามินบี 5
งาดำ
มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของดำในเรื่องการบำรุงผมให้หนานุ่มแข็งแรงและดกดำ เมื่อผมแข็งแรงก็จะไม่หงอกก่อนวัยนั่นเอง

2. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำให้มากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ การมีสุขภาพที่แข็งแรงจะช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยลงได้ ช่วยลดความเสี่ยงในการใช้ยารักษาโรคได้อีกทางหนึ่ง

3. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส
ความเครียดมีผลทำให้ผมหงอกไวขึ้น เพราะฉะนั้นการทำให้ตัวเองมีสุขภาพจิตที่ดี ก็ย่อมช่วยชะลอไม่ให้ผมหงอกก่อนวัยได้

4. ดูแลเส้นผมอย่างถูกวิธี
เริ่มจากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนต่อเส้นผม ทรีทเมนท์ผมบ้างสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเพื่อบำรุงผมด้วยสารอาหารที่เข้มข้น ไม่สระผมด้วยน้ำอุ่นบ่อยเกินไปและห้ามสระด้วยน้ำที่อุ่นจัด เพราะจะทำให้ผมเปราะขาดร่วงได้ง่าย หลีกเลี่ยงการเป่าลมร้อนหรือจัดแต่งทรงผมด้วยความร้อนโดยไม่จำเป็น ไม่หวีในขณะสระ ไม่มัดผมบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผมหักขาดได้ เวลาสระผมแนะนำให้นวดผมไปพร้อมกันด้วยจะช่วยให้หนังศีรษะและรากผมแข็งแรงมากยิ่งขึ้น การดูแลเส้นผมอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผมแข็งแรง นุ่มสลวยและไม่ขาดหลุดร่วงได้ง่าย

5. หลีกเลี่ยงการถอนผมโดยไม่จำเป็น
 เพราะมันจะทำให้รากผมอ่อนแอ ผมจะขึ้นช้าลง ผมใหม่ขาดหลุดร่วงได้ง่ายทำให้ผมบางหรืออาจจะไม่ขึ้นอีกเลยในท้ายที่สุด

ย้อมผม  ทำสีผม บ่อยๆ จะเกิดอันตรายไหม
ปัจจุบัน สารเคมีที่ใช้ในน้ำยาย้อมผม ค่อนข้างปลอดภัยได้มาตรฐาน แม้จะอ้างว่าไม่มีการพบสารก่อมะเร็งอีกต่อไป แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากอาการแพ้สารเคมีเกิดขึ้นได้ในบางรายอยู่ดี มีข้อแนะนำการใช้น้ำยาย้อมผมดังนี้
– สารเคมีในน้ำยาย้อมผมอาจการกระตุ้นของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้เกิดการอักเสบ หรือผื่นแพ้สัมผัสได้
– สารในน้ำยาย้อมผม ยิ่งมีความเข้มของสีมาก ยิ่งทำให้เกิดการแพ้ได้มาก
– ควรหลีกเลี่ยงยาย้อมผมที่มีสาร Resorcinol และพาราฟีนีลีนไดอะมีน PPD ในปริมาณมาก เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคผื่นแพ้สัมผัสได้
– หากมีปัญหากับผิวหนังบนหนังศีรษะ เช่น มีแผล, มีรังแคมาก ควรหลีกเลี่ยงการทำสีผม เพราะสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ที่มักอยู่ในยาย้อมผม อาจทำให้บนหนังศีรษะ เกิดอาการระคายเคืองมากขึ้น
– ไม่ควรย้อมผมบ่อย แนะนำให้ทำสีผม 1 ครั้ง แล้วเว้นช่วง 3 เดือน ก่อนจะเริ่มทำสีผมได้ใหม่อีกและควรบำรุงเส้นผมด้วยการใช้คอนดิชันเนอร์หลังสระผมทุกครั้ง และลดการใช้ความร้อนกับเส้นผม รวมถึงหนังศีรษะอีกด้วย

สารเคมีในน้ำยาย้อมผมมีอะไรบ้าง

น้ำยาย้อมผมประกอบด้วยสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดและด่าง 5 ตัวหลักๆ ดังนี้ (ข้อมูลจากwww.thaihealth.or.th)

  1. สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไชด์ เป็นสารฟอกสีผมและฆ่าเชื้อโรค จึงมีฤทธิ์ในการทำลายเส้นผม กัดสีผมและหนังศีรษะ ก่อให้เกิดอาการอักเสบและระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ตลอดจนทำให้เส้นผมแห้งเสียได้
  2. สารฟีนิลินไดอะมีน หรือสีย้อมผมชนิดถาวรนั้นเป็นสารเคมีอันตราย เมื่อดูดซึมเข้าสู่หนังศีรษะแล้ว อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง และหากสะสมอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งหนังศีรษะได้
  3. แอมโมเนีย ซึ่งเป็นตัวช่วยให้สีย้อมผมติดผมนั้น ขณะเดียวกันสารดังกล่าวยังมีฤทธิ์เป็นกรดและด่าง ที่สามารถกัดเส้นผมและหนังศีรษะได้ จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมเสียผมร่วง และทำให้รากผมอ่อนแอลง
  4. สารซิลเวอร์ไนเตรต เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการปกปิดผมขาว โดยตัวสารนี้เมื่ออยู่บนหนังศีรษะ จะทำปฏิกิริยากับอากาศแล้วเปลี่ยนให้เส้นผมกลายเป็นสีดำ ซึ่งสารตัวดังกล่าวมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดการระคาย หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้
  5. สารเลดอะซีเตด เป็นสารตะกั่วที่ใช้ในครีมปกปิดผมขาว ชนิดที่ไม่ต้องล้างออก เช่นเดียวกับสารซิลเวอร์ไนเตรต และเนื่องจากสารตะกั่วนี้มีคุณสมบัติคล้ายกับสารตะกั่วที่ผสมในน้ำมันในอดีต ดังนั้น หากสะสมในร่างกาย อาจทำรายสมองและประสาทสัมผัสได้ ที่สำคัญสารนี้ยังจัดอยู่ในสารก่อมะเร็งด้วยเช่นกัน

มีวิธีปิดผมขาวที่ง่ายและปลอดภัยหรือไม่
หากจะเลี่ยงการปิดผมขาวด้วยวิธีย้อมผม เพื่อให้ปลอดภัยจากสารเคมี ขณะนี้มีการใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาวอย่างแพร่หลาย และยังใช้เป็นแชมพูเปลี่ยนสีผมได้ตามความต้องการอีกด้วย ซึ่งแชมพูปิดผมขาวมีข้อดีคือ

1. ทำง่าย ทำเองได้ที่บ้าน
เพียงสระผมให้สะอาดโดยไม่ใช้คอนดิชันเนอร์ ซับผมให้พอหมาด สวมถุงมือ แล้วจึงผสมแชมพูเปลี่ยนสีผมทั้ง 2 ส่วน
ให้เข้ากันดี  ทาแชมพูเปลี่ยนสีผมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือ 20-30 นาทีเพื่อสีที่เด่นชัดและติดทน
นานยิ่งขึ้น เมื่อครบกำหนดเวลา พรมน้ำลงบนเส้นผม นวดให้ทั่วศีรษะ แล้วล้างออก
2. รวดเร็ว
3. ไม่ต้องใช้อุปกรณ์
4. ราคาถูก
5. มีสีผมให้เลือก
6. กลิ่นไม่ฉุน สีไม่ติดหนังศีรษะ ไม่ทำลายเส้นผม

วิธีเลือกซื้อแชมพูปิดผมขาวที่ดีที่สุด

เลือกส่วนผสมจากธรรมชาติ
การซื้อแชมพูปิดผมขาวควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ทำจากสารเคมีเพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ แต่ควรเลือกส่วนผสมจากสารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผม ซึ่งจะได้รับการบำรุงไปพร้อมกับการเปลี่ยนสีผม

เฉดสีที่ต้องการ
เฉดสีส่วนใหญ่จะเป็นเฉดสีในโทนธรรมชาติก็คือเฉดสีดำ สีน้ำตาล น้ำตาลอ่อนและสีช็อกโกแลต  หากเป็นเฉดสีตามแฟชั่นสีอาจติดไม่ทน สีก็จะหลุดไปทุกครั้งที่คุณเริ่มสระผมหรือสัมผัสกับความร้อน

กลิ่นและความปลอดภัย
แชมพูปิดผมขาวที่ดีควรมีกลิ่นที่หอม หรือไม่ฉุน ต้องไม่มีส่วนผสมของแอมโมเนียเพราะแอมโมเนียมีกลิ่นฉุนและอาจไม่ปลอดภัยต่อการสูดดม การเลือกผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาวความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ

C9 ORGANIC COLOR SHAMPOO (ยาสระผมกลบหงอก)

Posted on

ท้องผูก….อย่าคิดว่าแค่ถ่ายไม่ออก บ่งบอกถึงโรคร้ายที่จะตามมา

หากคุณมีอการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติ ถ่ายอุจจาระไม่ออกเป็นเวลานาน ๆ ถ่ายอุจจาระออกได้ยาก ต้องใช้แรงเบ่งมาก ถ่ายได้ไม่สุด ก้อนอุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง และถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
นั่นคือคุณมีปัญหาท้องผูก และหากท้องผูกต่อเนื่องติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน
คุณเป็นโรคท้องผูกเรื้อรัง…นั่นไม่ใช่แค่การถ่ายไม่ออก แต่มันคืออาการของภัยร้ายที่กำลังตามมา ซึ่งคุณคิดไม่ถึงเพราะ

อาการท้องผูกเรื้อรังจะนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น ริดสีดวงทวาร ลำไส้อักเสบ เบาหวาน หรือมะเร็งลำไส้

สาว ๆ หลายคนมีผิวหมองคล้ำ ไขมันสะสม อ้วน โดยไม่รู้สาเหตุ หารู้ไม่ว่า ท้องผูกนั่นล่ะ ที่ส่งผลทำลายความสวยของสาว ๆ ไปได้เช่นกัน

ถึงเวลาแล้วยัง ที่ต้องจัดการปัญหาท้องผูกอย่างเด็ดขาด

มาดีท็อกซ์ลำไส้ แก้ปัญหาท้องผูกขั้นเด็ดขาดกันดีกว่า

ดีท็อกซ์เองก็ได้ง่ายจัง!!!!

เคยได้ยินคำว่าดีท็อกซ์ใช่มั้ยคะ อธิบายง่าย ๆ ก็เหมือนการล้างลำไส้แบบสะอาด พร้อมทั้งเป็นการชจัดสารพิษและไขมันออกไป
นึกสภาพท่อประปาที่ตระกันเกาะ คราบตะไคร่น้ำอุดตัน น้ำที่ออกมาให้เราดื่ม เลี้ยงร่างกายก็จะสกปรกไปด้วย การไหลของน้ำก็ติดขัด พอได้ล้างท่อเท่านั้นล่ะ…โอ้โห ไม่รู้คราบอะไรที่สกปรกทะลวงออกมาเต็มไปหมด

ลำไส้ของเราก็เหมือนกันค่ะ เป็นที่สะสมทั้งไขมัน สารพิษต่าง ๆ เยอะแยะไปหมดทำให้ส่งผลเสียต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น อาหารย่อยยาก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก พฤติกรรมการถ่ายไม่ปกติ เป็นผลเสียต่อลำไส้ และไม่น่าเชื่อว่าจะส่งผลทำให้ผิวพรรรหมองคล้ำด้วย เพราะระบบร่างกายดูดสารพิษมาใช้ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นปัจจัยและส่งผลเสียต่อการเป็น เบาหวานอีกด้วย

ท้องผูก ถ่ายไม่ออก จึงไม่ใช่เรื่องที่เรามองข้าม ขจัดปัญหานี้ให้หมดไป พร้อมทั้งป้องกันและรักษาสุขภาพด้วยการดีท็อกซ์ลำไส้

ซีไนน์ ไฟเบอร์ดี จึงไม่ใช่แค่ตัวช่วยระบบขับถ่าย เพราะมีสารสกัดสมุนไพรมากถึง 20 ชนิด จึงมีคุณประโยชน์มากมาย 5 เรื่องสำคัญ คือ
1. ช่วยระบบขับถ่าย
2. เร่งการเผาผลาญไขมัน
3. ลดน้ำตาล ลดไขมัน
4. ต่อต้านอนุมูลอิสระ
5. ลดการอักเสบ

สุขภาพดี…(ใครว่า) ไม่มีขาย …
สุขภาพดีควบคู่กับหุ่นดีไร้ไขมัน ด้วย

ซีไนน์ ไฟเบอร์ดี

สั่งซื้อได้ที่นี่

C9 Fiber D

Posted on

4 คำถามที่ต้องตอบให้ได้ก่อนเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิว…ตอบให้ครบจบที่คุณเลือก

ยุคสมัยที่นวัตกรรมเฟื่องฟูในทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลผิว ทำให้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีความหลากหลายมาก ทั้งรูปแบบและสรรพคุณต่าง ๆ รวมถึงการคิดค้นสารสกัดที่จะเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์

ความหลากหลาย แตกต่างกันมากขนาดนี้ ทำให้ผู้ใช้อาจสับสนกับการเลือกใช้ ไม่แน่ใจว่าจะเลือกผลิตภัณฑ์ไหนดี ลองตอบคำถาม 3 ข้อต่อไปนี้ คุณก็จะรู้ได้ว่าจะเลือกผลิจภัณฑ์แบบไหนดี

1. คุณมีผิวแบบไหน
ลักษณะของผิวแต่ละคน จะเหมาะกับรูปแบบของผลิตภัณฑ์ไม่เหมือนกัน รูปแบบผลิตภัณฑ์มีหลากหลายแบบ เช่น เนื้อครีม โลชั่น เจล เซรั่ม แบบที่มีเนื้อเข้มข้น หรือบางเบา หรือแบบไม่มีน้ำมัน ซึ่งมีข้อแนะนำการเลือกรูปแบบของผลิตภัณฑ์ ให้เหมาะกับผิวลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
– ผิวแห้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรูปแบบ ครีม ซึ่งมีความเข้มข้น ช่วยปกป้องผิวจากการเสียความชุ่มชื้น และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
– ผิวธรรมดา ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบโลชั่น ที่มีเนื้อไม่เข้มข้นหรือบางเบาเกินไป โดยพิจารณาสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้วย หากอยู่ในที่อากาศร้อน ไม่ควรเลือกเนื้อที่เข้มข้นเกกินไป เพราะจะทำให้เหนียว
เหนอะหนะ และก่อให้เกิดปัญหาผิวอุดตัน แต่หากอยู่ในที่อากาศเย็นเช่น ในห้องแอร์ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบเนื้อครีมเพราะจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น
– ผิวผสม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เนื้อไม่เข้มข้นหรือบางเบาเกินไป เช่น โลชั่หรือเจล เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นและช่วยลบเลือนริ้วรอย และช่วยปรับสมดุลของผิวให้ใกล้เคียงกัน บางครั้งอาจต้องใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะจุดให้เหมาะกับลักษณะของผิวบริเวณนั้นด้วย
– ผิวมัน  ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบเนื้อเจล หรือโลชั่น ที่มีเนื้อบางเบา ไม่มีน้ำมัน เพื่อควบคุมความมัน และป้องกันปัญหาการอุดตันของผิวหนัง

2. คุณต้องการให้ผิวเป็นอย่างไร
ก่อนอื่นคุณต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณอยากได้ผิวสวยแบบไหน หรืออยากลดปัญหาผิวในเรื่องใดบ้างแล้วพิจารณาส่วนผสมที่ใส่ในผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด เพราะส่วนผสมที่ใส่ในผลิตภัณฑ์จะบอกถึงสรรพคุณหรือคุณสมบัติที่จะทำให้เกิดผลต่อผิว ตามความต้องการหรือตามสูตรที่ผู้ผลิตคิดค้นขึ้นมา เช่น วิตามินซี ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใส และช่วยลดเลือนจุดด่างดำ วิตามินบี 3 ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น เต่งตึง กระชับ เรียบเนียน นอกจากนี้ยังมีการนำนวัตกรรมสกินแคร์ใหม่ ๆ มาใช้สกัดส่วนผสมจากสมุนไพร สารเคมี และเชื้อจุลินทรีย์ เช่น โพรไบโอติกส์ คอลลาเจน ไฮยารูลอน เป็นต้น ส่วนผสมต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้ใช้ต้องศึกษาให้ดีว่ามีอะไรบ้าง จะเหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร ซึ่งโดยปกติแล้วผลิตภัณฑ์ที่ดีควรมีฉลากบอกรายละเอียดให้ทราบด้วย

3. คุณมีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายหรือไม่
ผู้ใช้ต้องสังเกตอาการหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ และโดยทั่วไป คนที่ผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายก็จะทราบดีอยู่แล้วว่าตัวเองแพ้สารอะไร จึงต้องให้ความระมัดระวังในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ โดยดูว่ามีส่วนผสมที่เคยแพ้มาก่อนหรือไม่ หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสูตรอ่อนโยน ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง หากใช้ผลิตภัณฑ์แล้วเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ควรหยุดใช้ทันที และหากมีอาการมากควรปรึกษาแพทย์ทันที

4. คุณมีงบประมาณมากน้อยแค่ไหน
นอกจากผลิตภัณฑ์จะหลากหลายแล้ว ราคาก็ยังมีความแตกต่างกันมาก ตั้งแต่หลักหมื่น พัน และหลักร้อยก็มี ความแตกต่างของราคา อาจบ่งบอกถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์นั้นได้ แต่ก็ไม่เสมอไป บางครั้งผลิตภัณฑ์ที่ราคาแพงก็ไม่ต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกกว่า เรื่องราคาจึงเป็นค่านิยมเฉพาะบุคคล การใช้เกณฑ์ราคาในการพิจารณาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จึงเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น
มีข้อสังเกตว่าหากราคาถูกเกินไปม่สอดคล้องกับคุณภาพและคุณสมบัติที่เราต้องการ อาจเป็นไปได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ควรเลือกใช้
ดังนั้น ควรพิจารณาอย่างมีเหตุผล โดยการเปรียบเทียบส่วนผสมที่ใส่ การอ้างอิงจากผู้ใช้คนอื่น หรือพิจารณาจากแหล่งผลิตเพื่อยืนยันในคุณภาพ เรื่องราคาจึงเป็นเรื่องความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

ได้คำตอบทั้ง 4 ข้อแล้ว คงจะตัดสินใจเลือกได้ว่าจะเลือกผลิตภัณฑ์แบบไหน แบรนด์ไหน ขอให้ผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือก เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์และแก้ปัญหาผิวของคุณได้ดีนะคะ

eed Sbuyzone

 

C9 Promotion SERUM HYA VIT C ราคาพิเศษ 390 บาท

 

Posted on

7 เรื่องต้องรู้…หากจะรักษาโควิดด้วยฟ้าทะลายโจร

เมื่อคุณติดโควิดแล้ว และกำลังรอเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาล ซึ่งอาจจะนานเกินไป เรายังมีทางเลือกเพื่อช่วยเหลือตัวเองก่อน นั่นก็คือการทานฟ้าทะลายโจร สมุนไพรไทยที่ใช้ได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากหลายสถาบัน แต่คุณต้องรู้ 7 เรื่องต่อไปนี้ เพื่อการใช้ฟ้าทะลายโจรอย่างถูกต้องและได้ผล

  1. ยังไม่ยืนยันว่าฟ้าทะลายโจรป้องกันโควิดได้ แต่ฟ้าทะลายโจรช่วยสร้างและกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันร่างกายได้ เพราะฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์เป็นสารต้านไวรัส
  2. แม้จะยังไม่สามารถป้องกันได้ แต่มีข้อพิสูจน์ที่ได้รับการยอมรับว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาผู้ที่ติดเชื้อโควิดอย่างได้ผล
  3. สารจากฟ้าทะลายโจรที่ช่วยรักษาโรคต่าง ๆ ชื่อ “แอนโดกราโฟไลด์” ซึ่งมีการผลิตออกมา 2 รูปแบบคือแคปซูลแบบผงยา และแคปซูลสารสกัด ความแตกต่างกันคือแบบผงยาจะได้รับสารแอนโดรกราโฟไลด์ต่อ 1แคปซูลต่ำมาก แต่แคปซูลแบบสารสกัดจะมีแอนโดรกราโฟไลด์ปริมาณสูง 10-20 มก.ต่อแคปซูล ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์
  4. การผลิตรูปแบบสารสกัดสามารถสกัดสาร AP3 ออกไปได้ ซึ่งสารนี้จะมีผลข้างเคียงทำให้แขนขาอ่อนแรง
  5. มีข้อแนะนำว่าควรทานฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ 20 มก. ต่อครั้ง วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร (รวมวันละ 60 มก.) จึงจะเสริมภูมิได้ ส่วนการทานเพื่อการรักษาโควิดควรทานให้ได้แอนโดกราโฟไลด์ครั้งละ 60 มก. วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร (รวมวันละ 180 มก.) จึงจะสามารถรักษาโรคได้
  6. การทานฟ้าทะลายโจรต้องพิจารณาให้ได้รับปริมาณสารแอนโดกราโฟไลด์อย่างเพียงพอ และควรทาน 5 วันแล้วหยุดทาน 2 วัน และไม่ควรทานติดกันนาน 3 เดือน
  7. บุคคลที่ไม่ควรทานฟ้าทะลายโจรคือ สตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร ผู้ที่ทานแอสไพริน ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคความดัน

การต่อสู้กับโควิดที่ดีที่สุดคือการต่อสู้ด้วยตัวเอง จึงต้องรู้ทางหนีทีรอดที่จะพาเราปลอดภัย… ขอให้ทุกท่านปลอดโรคปลอดภัยกันทุกคนนะคะ

ข้อมูลอ้างอิง : กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

ฟ้าทะลายโจร

Posted on

9 ปัญหาผิวของผู้สูงวัย…นำไปสู่ผลร้ายที่คาดไม่ถึง มีผู้สูงวัยที่บ้านต้องระวัง

ผิวหนังของมนุษย์เป็นอวัยวะของร่างกายที่สำคัญ มีหน้าที่ปกป้องอันตรายให้กับอวัยวะต่างๆของร่างกายที่อยู่ภายใน นอกจากนี้ผิวหนังยังทำหน้าที่คอยควบคุมความร้อนความหนาว ของร่างกายอีกด้วย ร่างกายของเราจึงมีการขับเหงื่อและไขมันออกทางผิวหนังเพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิและทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่มอีกด้วย  โดยธรรมชาติผิวหนังจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดและมักทำให้เกอดปัญหาได้ง่าย เพราะคนส่วนใหญ่มองข้ามเรื่องการดูแลผิวหนังในผู้สูงวัย

นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ เนื่องจากปัจจุบันมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมอย่างรวดเร็ว ร่วมกับมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและการแพทย์ที่ทันสมัยมากขึ้น จึงทำให้ผู้สูงอายุมีอายุยืน โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีสุขภาพแข็งแรง ยังทำงานได้เหมือนหนุ่มสาว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผู้สูงอายุจะมีอายุยืนยาวขึ้นกว่าเดิม แต่ร่างกายมีการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะผิวหนังจะพบมีการเหี่ยวย่น ตกกระ มีจุดด่างดำและจุดขาว ดังนั้นการดูแลผิวที่ถูกวิธีจึงจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากโรคผิวหนังส่วนใหญ่มีอาการเรื้อรังทำให้ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ

ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผิวเมื่ออายุมากขึ้น
1. ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ
ได้มีผู้ทำการศึกษาทางจุลทรรศน์อิเล็กตรอนพบว่าเส้นใยอีลาสติกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อายุ 30 ปี โดยพบการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย ในผิวของผู้สูงอายุยิ่งถ้าได้รับแสงแดดมากขึ้น เส้นใยอีลาสติกเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คือ ผิวซีด เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหนังหยาบ หลอดเลือดเปราะเกิดรอยฟกช้ำง่าย มีจุดกระดำกระด่าง มีเนื้องอกเกิดขึ้นตามคอและใบหน้า ซึ่งเรียกว่า “กระเนื้อ”

เมื่ออายุมากขึ้นการหมุนเวียนทดแทนเซลล์ผิวหนังเก่าจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าจะหลุดลอกและเปลี่ยนแปลงเซลล์ใหม่ในเวลา 4 สัปดาห์ แต่วงจรนี้จะเพิ่มเป็น 2 เท่าในผู้สูงอายุ ทำให้ผิวหนังแห้งเป็นขุย มีสะเก็ด

ช่วงวัยรุ่นผิวจะค่อนข้างมันพอเข้าสู่วัยกลางคนผิวเริ่มเสื่อม รูขุมขนขยายกว้างขึ้นมีริ้วรอย และเมื่อถึงวัยสูงอายุริ้วรอยจะเห็นชัดขึ้นผิวหนังหย่อนคล้อยมีร่องแก้ม ร่องใต้ตา ผิวแห้งเป็นขุยและคัน เพราะผิวเสื่อมสภาพ ไขมันใต้ผิวน้อยลง ส่งผลให้ความต้านทานของผิวต่อสภาพอากาศและแสงแดดน้อยลง แพ้สิ่งต่างๆ ได้ง่าย

2.สภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมต่าง ๆ  เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาผิวของผู้สูงวัยที่แตกต่างกัน เช่น แสงแดด อุณหภูมิของอากาศ ภูมิประเทศ อาชีพการงาน

3.พฤติกรรม
ในช่วงวัยหนุ่มสาว
แต่ละคนมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแตกต่างกัน บางคนนอนดึก สูบบุรี่ กินเหล้า ทำงานกลางแดด สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงต่อผิวหนังทั้งสิ้น

4.ภูมิต้านทานในผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลง
ทำให้มีโอกาสติดเชื้อโรคง่าย ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา การทำงานของต่อมไขมัน ซึ่งผลิตไขมันน้อยลง ทำให้ความต้านทานของผิวต่อแสงแดด ลม ฟ้า อากาศ และแรงกระแทกเปลี่ยนแปลงไป เกิดอาการแพ้สิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย เวลารับประทานยาทั่ว ๆ ไป จะมีอาการแพ้ง่ายกว่าคนปกติในวัยหนุ่มสาว

9 ปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

  1. อาการคัน
    ในผู้สูงอายุเพียงแค่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงก็อาจทำให้เกิดอาการคันได้ หรืออาจเกิดจากการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง พืชบางชนิด สารเคมีที่เคยใช้ได้ปกติบางครั้งก็กลับทำให้คันได้เช่น ผงซักผ้า สบู่ เป็นต้น บางรายอาจเกิดจากโรคประจำตัวเช่น โรคไตวาย บางคนเกิดจากความเครียดก็ทำให้คันได้
  1. ผิวหนังเป็นตุ่มเป็นก้อน
    เช่น กระเนื้อ มะเร็งของผิวหนัง มะเร็งเม็ดสี มักพบในคนที่มีผิวขาว จะระคายเคืองเมื่อถูกแสงแดดเป็นเวลานาน
  2. การตกกระผิวเปลี่ยนสี ในผู้สูงอายุ
    จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีประวัติของคนในครอบครัวเป็น มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบไม่เรียบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 มิลลิเมตรถึงหลายเซนติเมตร ส่วนใหญ่จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร และจะใหญ่และเพิ่มจำนวนขึ้นเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นมักเกิดกับส่วนที่โดนแดดบ่อยๆ เช่น ที่หน้าและหลังมือ
  1. ผิวหนังอักเสบจากการแพ้ยา
    สาเหตุเกิดจากการแพ้ยาบางชนิด โดยเฉพะยาพื้นบ้าน ยาจีน สมุนไพรและน้ำมันนวดต่างๆหรือเกิดจากสิ่งแวดล้อม ยาปฏิชีวนะ ยาที่ทำให้เกิดการแพ้ เช่นยาแก้ปวดกระดูก ยาลดความดันเลือด ยาแก้ไอ ยาขับปัสสาวะ เป็นต้น เนื่องจากผู้สูงอายุจะใช้ยากลุ่มนี้อยู่บ่อยๆ จึงทำให้การแพ้ยาเพิ่มมากขึ้นและมีอาการคันเกิดผื่นมีตุ่มน้ำพองใสจนถึงขั้นเกิดการอักเสบของผิวหนัง
  1. การอักเสบของผิวหนัง
    โดยเฉพาะคนที่มีผิวหนังแห้ง เมื่ออากาศแห้งหรือหนาวเย็น ผิวหนังจะมีลักษณะเป็นหย่อมสีแดง แห้ง อาจมีแผลเป็นและแตกระแหง มีอาการคันที่แขนขาอาการจะเป็นมากในช่วงหน้าหนาวและจะหายไปในหน้าร้อน
  1. แผลกดทับ
    เกิดจากแรงกดทับทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยง จึงทำให้เกิดการเน่าตายของผิวหนัง พบบ่อยตรงบริเวณก้นกบ สะโพก ข้อศอกจะพบบ่อยในผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นอนบนเตียงเป็นเวลานานๆ ยิ่งในบางรายมีการขาดสารอาหารอยู่ด้วยจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น
  1. สิว
    มักพบในคนสูงอายุ ที่โดนแสงแดดมาก และนานๆ เช่น ชาวนา ชาวสวน มักพบเป็นสิวอุดตันหัวปิด บริเวณรอบๆ ตาและโหนกแก้ม และอาจจะขยาย เป็นสิวหัวเปิด ไม่มีลักษณะเป็นสิวอักเสบ บวมแดง
  2. จุดด่างดำในผู้สูงอายุ (ซีไนล์ เลนติโก้)
    เป็นผื่นราบสีน้ำตาลขนาดเล็กขอบเรียบรูปร่างกลมซึ่งปรากฎที่หน้า คอ หรือหลังมือ สาเหตุเกิดจากมีเม็ดสีในผิวหนังมากขึ้นที่ผิวหนังบริเวณนั้น ผื่นเหล่านี้ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด แม้ว่าผื่นเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการมีอายุมากขึ้น แต่สาเหตุหลักของผื่นชนิดนี้ไม่ใช่อายุ แต่เป็นการสัมผัสแสงแดดและลมมาเป็นเวลาหลายปี
  3. รอยเหี่ยวย่นในผู้สูงอายุ (แอคตินิค อีลาสโตสิส)
    เป็นการแก่ตัวของผิวหนังที่เกิดขึ้นก่อนวัย เกิดจากการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อยืดหยุ่นในชั้นผิวหนังแท้เนื่องจากการสัมผัสแสงอาทิตย์เป็นระยะเวลานาน

ปัญหาผิวหนังของผู้สูงอายุและสาเหตุที่พบตามข้างต้นควรต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพื่อให้สภาพร่างกายของผู้สูงอายุรวมถึงสุขอนามัยของผู้สูงอายุกลับมาดีได้ตามเดิม และสามารถใช้ชิวิตประจำวันเป็นปกติยู่กับลูกหลานได้อย่างมีความสุข

การดูแลป้องกันปัญหาผิวของผู้สูงอายุ

ปัญหาผิวของผู้สูงอายุหากละเลยไม่ดูแลอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมา เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรคเรื้อรังที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเช่น เบาหวาน เพียงแค่อาการคันของผิว แล้วเกาอาจทำให้เกิดการอักเสบเป็นแผลพุพอง หากเป็นเบาหวานแผลจะหายยาก ส่งผลร้ายค่อนข้างมาก  ดังนั้น การป้องกันดูแลผิวหนังจึงจำเป็น และควรปฏิบัติตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยมีข้อแนะนำดังนี้

  1. การอาบน้ำ ไม่ควรอาบน้ำร้อน หรือถ้าจำเป็นก็ควรใช้ครีมทาผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว โดยทาหลังอาบน้ำ และผิวที่แห้งมากอาจไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ และอาบเพียงวันละ 1 ครั้งก็พอ
  2. ไม่ควรขัดผิว
  3. ไม่ควรใช้ผงซักฟอกแรงเกินไป
  4. แต่งตัวโดยใช้เสื้อผ้าที่เหมาะสม
  5. ใช้เครื่องสำอางเท่าที่จำเป็นและปลอดภัย
  6. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และไม่สูบบุหรี่
  7. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และควรใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกแสงแดดมากเกินไป เพราะนั่นอาจเป็นสาเหตุของผิวแก่ก่อนวัยและมะเร็งผิวหนังได้
  8. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  9. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  10. พยายามไม่ให้เครียด
  11. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ถนอมผิวให้เหมาะสม
  12. เมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังในผู้สูงอายุ เช่น ผิวหนังอักเสบจากการระคายเคือง หรือการแพ้ยา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และการเป็นเรื้อรัง เนื่องจากในผู้สูงอายุการตอบสนองต่อการรักษาจะไม่ดีนัก แผลมักจะหายช้า ดังนั้นการให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

การเลือกผลิตภัณฑ์ถนอมผิวในผู้สูงอายุ

  1. ประเภทเคลือบผิวหนังปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน (occlusive) ออกฤทธิ์ปิดกั้นการซึมผ่านของน้ำในผิวหนังออกสู่ภายนอก เมื่อทาบนผิวหนังจะคลุมผิวหนัง ทำหน้าที่คล้ายเกราะอ่อนๆ ป้องกันสารเคมีไม่ให้ระคายผิวหนังสังเกตสารที่ระบุข้างขวด สารประเภทนี้ ได้แก่ lanolin, petroleum และ mineral oil
  2. ประเภทดูดน้ำให้ผิวหนัง (humectant)จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง โดยการจับน้ำจากบรรยากาศ และรักษาน้ำบนผิวหนังไว้ไม่ให้ระเหยไป สารกลุ่มนี้ได้แก่ lactic acid, urea, glycerol และ polyol
  3. ประเภทป้องกันแสงแดด (sun block) จะช่วยป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตเอ และบี (UVA, UVB) ที่มาทำลายผิวหนังที่ สารประเภทนี้ได้แก่ Titanium dioxide, Ocyl Methoxycinnamate, Ethylhexyl p-Methoxycinnamate เป็นต้น

 

อ้างอิง  1.https://www.eldertrend.com
2.http://anti-aging.mfu.ac.th/admin/uploadCMS/research/2aWed125257.pdf
3.https://www.thaipost.net/main/detail/40943

 

by : eedsbuyzone

Posted on

สุดยอดผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ทำไมต้องเป็น “เซรั่ม” ทำไมต้องเป็น “วิตามินซี”

สาว ๆ ร้อยทั้งร้อยมักให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้า รวมทั้งหนุ่ม ๆ ก็เริ่มใส่ใจในการดูแลผิวหน้ามากขึ้นเช่นกัน ผลิตภัณฑ์สกินแคร์จึงเกิดขึ้นมากมาย หลายสูตรที่คิดค้นล้วนสรรหาสุดยอดตัวช่วยในการดูแลผิว ซึ่งมีทั้งที่เป็นเคมีและสารสกัดจากสมุนไพร

แต่ปัจจุบันนี้ นอกจากผิวหน้าจะต้องแลดูสวย เรียบเนียน ขาวกระจ่างใสแล้ว ผิวกายก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะยุคสมัยของแฟชั่นที่เสื้อผ้ายุคนี้เน้นการโชว์แขน โชว์ไหล่ จนถึงโชว์หลังและหน้าท้อง สาว ๆ จึงต้องเพิ่มการดูแลผิวกายมากขึ้นด้วย ไม่เฉพาะใบหน้าอย่างเดียว เช่นเดียวกันกับการดูแลผิวหน้า มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกายมากมายหลายชนิด ต่างก็สรรหาสารต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเคมี และสารจากธรรมชาติเช่นเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า

ยิ่งกว่านั้น รูปแบบของผลิตภัณฑ์ก็มีการทำในรูปแบบใหม่ขึ้น จากเดิมที่เคยชินกับคำว่า “ครีม” และ “โลชั่น” ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของ “เซรั่ม” เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเรารู้จักกันดีแล้วกับเซรั่มที่ดูแลผิวหน้า แต่ตอนนี้มีเซรั่มสำหรับผิวกายด้วยแล้ว

ก่อนอื่นเรามาดูผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของ ครีม  โลชั่น และเซรั่ม ว่ามีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

ครีม (Cream)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบ “ครีม”  มีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันผสมกับน้ำ ผ่านกระบวนการและส่วนผสมของสารบำรุงต่าง ๆ ตามสูตรที่คิด สีจะออกขาวขุ่นหรือเป็นสีตามส่วนผสมที่ใส่ เนื้อครีมจะมีลักษณะเข้มข้นเหนียว เวลาทาจะรู้สึกหนักและจะซึมลงผิวได้ยาก จึงมีความเหนอะหนะ ต้องเกลี่ยและรอเวลาสักพักให้เนื้อครีมแห้ง เนื้อครีมจะลงใต้ชั้นผิวหนังได้ยาก จึงเป็นเพียงฟิล์มเคลือบผิวที่เก็บกักความชุ่มชื้นไว้  ครีมจึงเหมาะกับคนผิวแห้ง ไม่เหมาะกับคนผิวมัน เพราะยิ่งทาก็จะทำให้ผิวมัน และทำให้รูขุมขนอุดตันได้ด้วย ครีมมีสารออกฤทธิ์หรือสารบำรุงน้อยกว่า แต่ราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ในรูปแบบอื่น

โลชั่น (Lotion)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบ “โลชั่น”  เนื้อครีมกับโลชั่นดูเผิน ๆ อาจะเหมือนกันจนแยกไม่ออก แต่โลชั่นจะมีเนื้อที่บางเบากว่า เพราะมีส่วนผสมของน้ำที่มาก
กว่าครีม สารออกฤทธิ์บำรุงผิวที่ผสมก็จะไม่ต่างกันกับครีม ความบางเบาของโลชั่นทำให้ความหนักและเหนอะหนะน้อยลงจึงเหมาะกับคนผิวมันไปจนถึงผิวผสม  โลชั่นถูกผลิตมาหลากหลายแบบเหมาะกับลักษณะผิวและความต้องการที่แตกต่างกันไป เช่น โลชั่นสำหรับผิวแห้ง โลชั่นสำหรับเด็ก โลชั่นสำหรับผิวขาว หรือโลชั่นผสมน้ำหอม เป็นต้น

เซรั่ม (Serum)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบ “เซรั่ม” เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก  ลักษณะของเนื้อเซรั่มจะมีความเบาบางกว่าเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหรือโลชั่น เนื้อของเซรั่มจะมีความเหลวไปจนถึงกึ่งเหลว และมีความใส มีสีหรือขุ่นก็ได้ขึ้นอยู่กับส่วนผสม สารสกัด และการออกเเเบบสูตรของเซรั่มแต่ละชนิด แต่สิ่งที่สำคัญของเซรั่ม คือจะมีความเข้นข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทอื่นๆ  เซรั่มจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และเนื่องจากเซรั่มมีโมเลกุลขนาดเล็กจึงสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึกถึงระดับโครงสร้างผิว
เซรั่มจึงสามารถนำคุณประโยชน์ของสารสกัดและส่วนผสมในการบำรุงต่าง ๆ ให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์เซรั่มจะมีราคาแพงกว่าผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่น แต่ประสิทธิภาพจะสูงกว่ามาก

จากคุณสมบัติของเซรั่มที่มีโมเลกุลเล็ก สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้เร็วและตรงเข้าไปแก้ปัญหาผิวได้จากภายใน จึงมีการคิดค้นสูตรที่ช่วยตอบโจทย์ในการเเก้ปัญหาดูแลผิวเฉพาะจุดได้ โดยการเติมสารสกัดหรือวิตามินต่าง ๆ เช่น สารช่วยกระชับรูขุมขน ช่วยลดรอยดำหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น รักษาอาการผิวแห้งจากภายใน ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และช่วยปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ ตามความต้องการ

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่า เซรั่ม เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการฟื้นฟูและบำรุงผิว การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับสูตรการผลิตว่าจะเลือกใช้สารสกัดหรือส่วนผสมชนิดใดบ้าง มีคุณประโยชน์ที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวของเราได้หรือไม่

คงเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่า ทำไมต้องเป็น “เซรั่ม”

ทีนี้เรามาทำความรู้จัก “วิตามินซี” จะได้เข้าใจว่าทำไมต้องเป็น “วิตามินซี”

“วิตามินซี”
เป็นวิตามินพื้นฐานที่สำคัญต่อร่างกาย โดยปกติแล้วจะรับรู้ทั่วไปว่าวิตามินซีมีประโยชน์ในการช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้น แต่วิตามินซียังมีคุณประโยชน์อีกมากมายที่อาจยังไม่รู้ โดยเฉพาะประโยชน์ในเการใช้ภายนอก ซึ่งถูกนำมาเป็นสารที่เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สกินแคร์แทบทุกชนิด

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้มีการคิดค้นสูตรใหม่ และเติมสารสำคัญตัวใหม่ที่คิดค้นได้ ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ว่าจะคิดสูตรใดออกมาก็ยังคงมีวิตามินซีเป็นส่วนผสมอยู่ด้วยเสมอ
วิตามินซี จึงเป็นสารสำคัญที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกยุคทุกสมัย และมีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบทั้ง ครีม โลชั่น และในเซรั่มก็ยังไม่เว้น นั่นแสดงว่า วิตามินซี มีสารสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวได้ดี คุณประโยขน์ของวิตามินซีที่มีต่อผิวมีมากมาย ดังนี้

–  ช่วยให้ผิวสวยกระจ่างใส
วิตามินซี ช่วยให้ผิวกระจ่างใส โดยมีกลไกยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส (Tyrosinase enzyme) ในกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานิน ผิวพรรณมีความกระจ่างใส จุดด่างดำลดเลือนลง วิตามินซีจึงใช้เป็นสารไวท์เทนนิ่ง (Whitening) อย่างแพร่หลาย คนที่ผิวโทรมจากการนอนดึก ใต้ตาคล้ำ หรือมีปัญหาจุดด่าง รอยสิว ฝ้า กระ วิตามินซีก็สามารถช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียนสม่ำเสมอขึ้นได้จริง

– ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินซี มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) โดยเฉพาะอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี ที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับผิวได้ วิตามินซีจึงช่วยปกป้องผิวไม่ให้ผิวดูโทรม และแก่ก่อนวัย หรือคนที่มีปัญหาผิวแห้ง มีริ้วรอย หรือหย่อนตล้อย วิตามินซีก็ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

– ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
วิตามินซียังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่เกิดขึ้นที่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) จึงช่วยในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอย และความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรรพคุณของวิตามินซีที่มีต่อการบำรุงผิวมีมากมายและเป็นเรื่องสำคัญมากแบบนี้ จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมต้องเป็น “วิตามินซี” ที่จะต้องมีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ด้วยความดีงามของ “เซรั่ม” และ “วิตามินซี” จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ “เซรั่มผสมวิตามินซี” ที่มีการผลิตออกมาให้ใช้สำหรับดูแลผิวพรรณให้สวย ขาวกระจ่างใส เรียบเนียน ลดรอยเหียวย่น ให้ความชุ่มชื้น สุขภาพผิวดูดีอยู่เสมอได้จริง จะเลือกใช้ค่ายไหนแบรนด์ไหนต้องดูให้มั่นใจด้วยว่ามีส่วนผสมอย่างอื่นที่เหมาะสำหรับเรา และกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองอย่างถูกต้องหรือไม่

เลือกได้แล้วก็จัดการหามาใช้ด่วนค่ะ

————————————————————————————————————————————————————

ให้โอกาส ซีไนน์ ได้ดูแลคุณ

ซีไนน์ เซรั่ม ไฮยา วิตซี  (C9 SERUM HYA VIT C)
ผลิตภัณฑ์บำรงผิวกายที่ “คนรักผิวต้องลอง” ด้วย เซรั่ม เนื้อบางเบาซึมเข้าดูแลผิวได้ล้ำลึก พร้อมส่วนผสมจากสุดยอดสารสกัดที่มีคุณประโยชน์ต่อผิว

Hyaluronic Acid  ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตามธรรมชาติ ให้ความชุ่มชื้นถึงผิวชั้นใน ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับ                          

Vitamin C ช่วยให้ผิวใสกระจ่างขึ้น ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอเท่ากัน และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น

Vitamin B5 ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่น สุขภาพดี  ทำให้ผิวที่แห้งกลับมาเนียนนุ่มและมีความยืดหยุ่น  นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบและช่วยลดการระคายเคืองของผิว

Vitamin B3 ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ ลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำ

เนื้อเซรั่มที่บางเบาซึมซับสู่ผิวได้ง่าย พร้อมด้วยวิตามินซีที่ทรงคุณค่าต่อผิว ยังมีไฮยารูลอน ที่เป็นส่วนผสมของสกินแคร์ระดับพรีเมี่ยม เท่านั้นยังไม่พอ ยังเติม วิตามินบี5 และวิตามินบี3 ผนึกกำลังสร้างให้ผิวคุณมีสุขภาพดี ขาวกระจ่างใส เรียบเนียน มีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น เต่งตึง รุขุมขนกระชับ ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำทั้งหลาย

ดีงามากมายแบบนี้ที่คุณต้องลอง

Posted on

Probiotic ช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้นได้อย่างไร ?

ร่างกายของเรานั้นประกอบไปด้วยจุลินทรีย์หลายล้านชนิด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย และอื่น ๆ โดยทั่วไป เรารับรู้กันมาตลอดว่าจุลินทรีย์ส่งส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ธรรมชาติของร่างกายนั้นยังสามารถผลิตจุลินทรีย์ดี ๆ อย่าง โปรไบโอติก (Probiotic) ขึ้นมาเพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในร่างกายได้

โปรไบโอติก (Probiotic) จึงเป็นจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่งจัดเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดี สามารถพบได้ในอาหาร ที่รูจักกันดี เช่น นมเปรี้ยว จะมีเชื้อแบคทีเรีย กลุ่ม Lactobacillus spp. เชื้อยีสต์ เช่น Saccharomyces boulardii โยเกิร์ต กิมจิ มิโสะ เป็นต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหาร ให้คำจำกัดความว่า โปรไบโอติก คือ “จุลินทรีย์ที่มีชีวิต เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้สุขภาพดีในภาวะต่างๆ โดยเป็นจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติทนต่อกรดและด่าง สามารถจับที่บริเวณผิวของเยื่อบุลำไส้แล้วผลิตสารต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ รวมถึงก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพได้”

หากร่างกายมีสุขภาพดีก็จะมีการรักษาสมดุลจุลินทรีย์ให้เป็นปกติ แต่ถ้าหากร่างกายอยู่ในภาวะไม่ปกติอาจส่งผลให้สมดุลจุลินทรีย์ในร่างกายเสียหายได้  จุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ถูกรุกรานจากจุลินทรย์ไม่ดี ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศของร่างกาย ซึ่งเป็นที่มาของโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นได้

ผิวหนังของเราก็มีการปรับสมดุลจุลินทรีย์ หรือที่เรียกว่า “ระบบนิเวศของผิว” (Skin Microbiome) เช่นเดียวกัน กล่าวคือผิวหนังประกอบไปด้วยจุลินทรีย์หลายล้านชนิดที่ดีและไม่ดี ระบบนิเวศของผิว จึงเป็นหลักในการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในผิว ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเชื้อโรค ป้องกันอาการแพ้อักเสบ รักษาสมดุลจุลินทรีย์ในผิว และป้องกันมลภาวะเข้าสู่ชั้นผิว

นั่นคือ โปรไบโอติก หรือจุลินทรีย์ดี มีความสำคัญต่อผิวหนังเป็นอย่างมาก หากระบบนิเวศของผิวหนังเสียสมดุลมีจุลินทรีย์ไม่ดีมากกว่า ก็จะเป็นสาเหตุให้สุขภาพผิวไม่แข็งแรง เกิดปัญหาผิวเสียต่าง ๆ ได้ง่าย

โปรไบโอติกส์ช่วยให้ skin microbiome ทำงานได้ดี โดย
– ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและควันพิษ ทำให้สุขภาพผิวแข็งแรง
– ช่วยทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้ดี ไม่แห้ง
– ลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการผิวแพ้ ผื่นแดง
– ลดสัญญาณที่ก่อให้เกิดผิวแห้ง ไม่กระชับ
– ช่วยปรับค่า pH balance ให้คงที่

โดยปกตินั้น microbiome ก็มีความสมดุลดีอยู่แล้ว แต่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้สมดุลนั้นถูกทำลายไป ได้แก่

  • อายุที่มากขึ้น
  • มลภาวะ ควันพิษ
  • รังสียูวีจากแสงแดด
  • ยาปฏิชีวนะ
  • อาหารไขมัน เกลือ
  • สภาพผิวมัน ,ผิวแห้ง

สิ่งเหล่านี้จะทำลาย microbiome ในผิวอย่างรุนแรง นำไปสู่ภาวะผิวแห้ง ผิวแพ้ แดง คัน หรือแม้แต่สิว ดังนั้นหากผิวหนังขาดจุลินทรีย์ดีหรือ โปรไบโอติก (Probiotic) จะส่งผลให้สุขภาพผิวอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางผิวหนังได้

การใช้ผลิดตภัณฑ์ดุแลผิว (Skin Care) ในชีวิตประจำวันบางชนิดเช่นการใช้โฟมล้างหน้าหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดเซลล์ผิวบ่อยๆ สามารถทำให้แบคทีเรียที่ดีบนผิวของเราลดลง จุลินทรีย์เสียสมดุล ส่งผลให้ชั้นผิวที่ทำหน้าที่เหมือนเกราะปกป้องผิวอ่อนแอลง และอาจเกิดอาการแพ้ รอยแดง แม้กระทั่งสิว ซึ่งล้วนเป็นอาการอักเสบของผิวที่จะนำไปสู่ความเสื่อมของผิวก่อนวัย

นวัตกรรมด้านสกินแคร์จึงมีการคิดค้นใหม่ด้วยการเติมอาหารผิวอย่าง “โปรไบโอติกส์” เข้าไปในการบำรุงผิว ช่วยลดปัญหาผิวจากอาการแดงจากผื่นแพ้หรืออาการอักเสบจากสิว และยังช่วยกระตุ้นให้ผิวฟื้นฟูและปกป้องตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหลักการที่สำคัญคือลดจุลินทรีย์ตัวร้าย โดยเติมโปรไบโอติกส์เพื่อคืนสมดุลปรับให้สุขภาพผิวแข็งแรงขึ้น


ให้โอกาส ซีไนน์ ได้ดูแลคุณ

หากคุณมองหาผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มี “โปรไบโอติก” ขอแนะนำผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของซีไนน์ ที่ออกมาครบเป็นซีรีย์ คือ

C9 Probiotic Facial Foam Wash
โฟมล้างหน้าที่ช่วยทำความสะอาดล้ำลึกได้อย่างหมดจด ขจัดคราบสกปรกทึ่ตกค้างบนผิวหน้าให้สะอาด ช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ผลิตโดยใช้นวัตกรรมโปรไบโอติก และสารสกัดทรงคุณค่าได้แก่
Aloe Vera Extract
ช่วยปรับสภาพผิวลดอาการแพ้ระคายเคือง ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และสมานแผลเป็น ลดการอักเสบของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นการสร้างสารคลอลาเจน ให้ความชุ่มชื้นแก่ ผิว ให้ผิวเรียบเนียน
Witch hazel
มีสรรพคุณในการสมานแผล ลดการอักเสบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอ่อนๆ จึงช่วยลดการเกิดสิวได้ บำรุงผิวไม่ให้แห้งกร้าน เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว และมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยปกป้องผิวจาก มลภาวะต่างๆ ทั้งยังลดการสร้างน้ำมันใต้ผิวอีกด้วย
Tea tree oil ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค และสามารถฆ่าเชื้อโรคบนผิวหนัง จึงช่วยลดการอักเสบ ของสิว ช่วยให้สิวยุบและแห้งเร็วขึ้น รักษาอาการคัน ลดผดผื่นแดงคันตาม


C9 Probiotic Toner
ทำความสะอาดผิวหน้า ขจัดคราบสกปรกทึ่ตกค้างบนผิวหน้าให้สะอาด ช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
ผลิตโดยใช้นวัตกรรม Probiotic และสารสกัดทรงคุณค่า ได้แก่
Aloe Vera Extract
ช่วยปรับสภาพผิวลดอาการแพ้ระคายเคือง ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และสมานแผลเป็น ลดการอักเสบของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นการสร้างสารคลอลาเจน ให้ความชุ่มชื้นแก่ ผิว ให้ผิวเรียบเนียน
Witch hazel
ช่วยกระชับรูขุมขน โดยไม่ระคายเคืองผิว นิยมใช้ผสมใน toner เพื่อช่วยกระชับรูขุมขน เนื่องจากเป็นพืชธรรมชาติ ทําให้สามารถใช้ได้แม้ผิวแพ้ง่าย ช่วยบํารุงผิวไม่ให้แห้งกร้าน เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว และมีสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆ ทั้งยังลดการสร้างน้ํามันใต้ผิวอีกด้วย
IRed clover flower
การันตีด้วยรางวัล Silver ใน 474 In-Cosmetic Paris 2016 Innovation Zone Best Ingredient Award พบสารออกฤทธิ์ที่สําคัญคือ Biocharin A สามารถยับยั้งการทํางานเอนไซม์ 5 Alpha-reductase ช่วยลดการผลิตไขมันและมี คุณสมบัติ Detoxifying ขจัดสารพิษ toxin ในผิว ต่อต้านอาการอักเสบ ช่วยกระชับรูขุมขนที่เห็นได้ชัดเจน


C9 Probiotic Cream
ครีมบำรุงผิวหน้า ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่อ่อนโยนแพ้ง่าย ยับยั้งการอักเสบของผิว และช่วยปรับให้ผิวเกิดความสมดุล ช่วยลดการต้านอนุมูลอิสระและกรองรังสีให้แก่ผิว
ผลิตโดยใช้นวัตกรรม Probiotic และสารสกัดทรงคุณค่า ได้แก่
ไฮยาลูรอน
ช่วยผิวที่มีปัญหาขาดความสมดุล ผิวแห้งเป็นขุย หรือหลุดลอกเป็นแผ่นๆ ด้วยคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื้น ในชั้นผิวได้ดีเยี่ยม บํารุงผิวพรรณโดยเฉพาะผิวหน้าจะสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วในด้าน ความพึง กระชับ เรียบเนียน ลดอาการอักเสบของสิวซ่อมแซมผิวที่ถูกทําลาย เร่งกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ที่มีผลต่อการหายของแผล มีส่วนช่วยในการลดการสร้างอนุมูลอิสระ และกรองรังสี UV ที่จะทําร้ายผิว
Vitamin B3
เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว โดยเฉพาะการลดริ้วรอย ลดรอยแดง รอยดํา เพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการกระตุ้น ให้ผิวสร้างคอลลาเจนและเซราไมด์ เพิ่มความยืดหยุ่นของผิวในชั้นหนังแท้ ผิวจึงแข็งแรงขึ้น ต่อสู้กับการระคายเคือง (iritants) ต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยในเรื่องเซลล์ผิว ลดการสร้างเมลานินหรือเซลล์เม็ดสี จึงทําให้กระ ฝ้าจางลง

ให้ “โปรไบโอติก” ดูแลผิว ใช้โปรไบโอติกซีรีย์ของซีไนน์นะคะ…

 

By : Eedsbuyzone