Posted on

สุดยอดผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ทำไมต้องเป็น “เซรั่ม” ทำไมต้องเป็น “วิตามินซี”

สาว ๆ ร้อยทั้งร้อยมักให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้า รวมทั้งหนุ่ม ๆ ก็เริ่มใส่ใจในการดูแลผิวหน้ามากขึ้นเช่นกัน ผลิตภัณฑ์สกินแคร์จึงเกิดขึ้นมากมาย หลายสูตรที่คิดค้นล้วนสรรหาสุดยอดตัวช่วยในการดูแลผิว ซึ่งมีทั้งที่เป็นเคมีและสารสกัดจากสมุนไพร

แต่ปัจจุบันนี้ นอกจากผิวหน้าจะต้องแลดูสวย เรียบเนียน ขาวกระจ่างใสแล้ว ผิวกายก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะยุคสมัยของแฟชั่นที่เสื้อผ้ายุคนี้เน้นการโชว์แขน โชว์ไหล่ จนถึงโชว์หลังและหน้าท้อง สาว ๆ จึงต้องเพิ่มการดูแลผิวกายมากขึ้นด้วย ไม่เฉพาะใบหน้าอย่างเดียว เช่นเดียวกันกับการดูแลผิวหน้า มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกายมากมายหลายชนิด ต่างก็สรรหาสารต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเคมี และสารจากธรรมชาติเช่นเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า

ยิ่งกว่านั้น รูปแบบของผลิตภัณฑ์ก็มีการทำในรูปแบบใหม่ขึ้น จากเดิมที่เคยชินกับคำว่า “ครีม” และ “โลชั่น” ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของ “เซรั่ม” เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเรารู้จักกันดีแล้วกับเซรั่มที่ดูแลผิวหน้า แต่ตอนนี้มีเซรั่มสำหรับผิวกายด้วยแล้ว

ก่อนอื่นเรามาดูผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของ ครีม  โลชั่น และเซรั่ม ว่ามีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

ครีม (Cream)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบ “ครีม”  มีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันผสมกับน้ำ ผ่านกระบวนการและส่วนผสมของสารบำรุงต่าง ๆ ตามสูตรที่คิด สีจะออกขาวขุ่นหรือเป็นสีตามส่วนผสมที่ใส่ เนื้อครีมจะมีลักษณะเข้มข้นเหนียว เวลาทาจะรู้สึกหนักและจะซึมลงผิวได้ยาก จึงมีความเหนอะหนะ ต้องเกลี่ยและรอเวลาสักพักให้เนื้อครีมแห้ง เนื้อครีมจะลงใต้ชั้นผิวหนังได้ยาก จึงเป็นเพียงฟิล์มเคลือบผิวที่เก็บกักความชุ่มชื้นไว้  ครีมจึงเหมาะกับคนผิวแห้ง ไม่เหมาะกับคนผิวมัน เพราะยิ่งทาก็จะทำให้ผิวมัน และทำให้รูขุมขนอุดตันได้ด้วย ครีมมีสารออกฤทธิ์หรือสารบำรุงน้อยกว่า แต่ราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ในรูปแบบอื่น

โลชั่น (Lotion)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบ “โลชั่น”  เนื้อครีมกับโลชั่นดูเผิน ๆ อาจะเหมือนกันจนแยกไม่ออก แต่โลชั่นจะมีเนื้อที่บางเบากว่า เพราะมีส่วนผสมของน้ำที่มาก
กว่าครีม สารออกฤทธิ์บำรุงผิวที่ผสมก็จะไม่ต่างกันกับครีม ความบางเบาของโลชั่นทำให้ความหนักและเหนอะหนะน้อยลงจึงเหมาะกับคนผิวมันไปจนถึงผิวผสม  โลชั่นถูกผลิตมาหลากหลายแบบเหมาะกับลักษณะผิวและความต้องการที่แตกต่างกันไป เช่น โลชั่นสำหรับผิวแห้ง โลชั่นสำหรับเด็ก โลชั่นสำหรับผิวขาว หรือโลชั่นผสมน้ำหอม เป็นต้น

เซรั่ม (Serum)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบ “เซรั่ม” เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก  ลักษณะของเนื้อเซรั่มจะมีความเบาบางกว่าเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหรือโลชั่น เนื้อของเซรั่มจะมีความเหลวไปจนถึงกึ่งเหลว และมีความใส มีสีหรือขุ่นก็ได้ขึ้นอยู่กับส่วนผสม สารสกัด และการออกเเเบบสูตรของเซรั่มแต่ละชนิด แต่สิ่งที่สำคัญของเซรั่ม คือจะมีความเข้นข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทอื่นๆ  เซรั่มจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และเนื่องจากเซรั่มมีโมเลกุลขนาดเล็กจึงสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึกถึงระดับโครงสร้างผิว
เซรั่มจึงสามารถนำคุณประโยชน์ของสารสกัดและส่วนผสมในการบำรุงต่าง ๆ ให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์เซรั่มจะมีราคาแพงกว่าผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่น แต่ประสิทธิภาพจะสูงกว่ามาก

จากคุณสมบัติของเซรั่มที่มีโมเลกุลเล็ก สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้เร็วและตรงเข้าไปแก้ปัญหาผิวได้จากภายใน จึงมีการคิดค้นสูตรที่ช่วยตอบโจทย์ในการเเก้ปัญหาดูแลผิวเฉพาะจุดได้ โดยการเติมสารสกัดหรือวิตามินต่าง ๆ เช่น สารช่วยกระชับรูขุมขน ช่วยลดรอยดำหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น รักษาอาการผิวแห้งจากภายใน ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และช่วยปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ ตามความต้องการ

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่า เซรั่ม เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการฟื้นฟูและบำรุงผิว การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับสูตรการผลิตว่าจะเลือกใช้สารสกัดหรือส่วนผสมชนิดใดบ้าง มีคุณประโยชน์ที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวของเราได้หรือไม่

คงเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่า ทำไมต้องเป็น “เซรั่ม”

ทีนี้เรามาทำความรู้จัก “วิตามินซี” จะได้เข้าใจว่าทำไมต้องเป็น “วิตามินซี”

“วิตามินซี”
เป็นวิตามินพื้นฐานที่สำคัญต่อร่างกาย โดยปกติแล้วจะรับรู้ทั่วไปว่าวิตามินซีมีประโยชน์ในการช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้น แต่วิตามินซียังมีคุณประโยชน์อีกมากมายที่อาจยังไม่รู้ โดยเฉพาะประโยชน์ในเการใช้ภายนอก ซึ่งถูกนำมาเป็นสารที่เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สกินแคร์แทบทุกชนิด

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้มีการคิดค้นสูตรใหม่ และเติมสารสำคัญตัวใหม่ที่คิดค้นได้ ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ว่าจะคิดสูตรใดออกมาก็ยังคงมีวิตามินซีเป็นส่วนผสมอยู่ด้วยเสมอ
วิตามินซี จึงเป็นสารสำคัญที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกยุคทุกสมัย และมีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบทั้ง ครีม โลชั่น และในเซรั่มก็ยังไม่เว้น นั่นแสดงว่า วิตามินซี มีสารสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวได้ดี คุณประโยขน์ของวิตามินซีที่มีต่อผิวมีมากมาย ดังนี้

–  ช่วยให้ผิวสวยกระจ่างใส
วิตามินซี ช่วยให้ผิวกระจ่างใส โดยมีกลไกยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส (Tyrosinase enzyme) ในกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานิน ผิวพรรณมีความกระจ่างใส จุดด่างดำลดเลือนลง วิตามินซีจึงใช้เป็นสารไวท์เทนนิ่ง (Whitening) อย่างแพร่หลาย คนที่ผิวโทรมจากการนอนดึก ใต้ตาคล้ำ หรือมีปัญหาจุดด่าง รอยสิว ฝ้า กระ วิตามินซีก็สามารถช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียนสม่ำเสมอขึ้นได้จริง

– ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินซี มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) โดยเฉพาะอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี ที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับผิวได้ วิตามินซีจึงช่วยปกป้องผิวไม่ให้ผิวดูโทรม และแก่ก่อนวัย หรือคนที่มีปัญหาผิวแห้ง มีริ้วรอย หรือหย่อนตล้อย วิตามินซีก็ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

– ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
วิตามินซียังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่เกิดขึ้นที่ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) จึงช่วยในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอย และความหย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรรพคุณของวิตามินซีที่มีต่อการบำรุงผิวมีมากมายและเป็นเรื่องสำคัญมากแบบนี้ จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมต้องเป็น “วิตามินซี” ที่จะต้องมีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ด้วยความดีงามของ “เซรั่ม” และ “วิตามินซี” จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ “เซรั่มผสมวิตามินซี” ที่มีการผลิตออกมาให้ใช้สำหรับดูแลผิวพรรณให้สวย ขาวกระจ่างใส เรียบเนียน ลดรอยเหียวย่น ให้ความชุ่มชื้น สุขภาพผิวดูดีอยู่เสมอได้จริง จะเลือกใช้ค่ายไหนแบรนด์ไหนต้องดูให้มั่นใจด้วยว่ามีส่วนผสมอย่างอื่นที่เหมาะสำหรับเรา และกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองอย่างถูกต้องหรือไม่

เลือกได้แล้วก็จัดการหามาใช้ด่วนค่ะ

————————————————————————————————————————————————————

ให้โอกาส ซีไนน์ ได้ดูแลคุณ

ซีไนน์ เซรั่ม ไฮยา วิตซี  (C9 SERUM HYA VIT C)
ผลิตภัณฑ์บำรงผิวกายที่ “คนรักผิวต้องลอง” ด้วย เซรั่ม เนื้อบางเบาซึมเข้าดูแลผิวได้ล้ำลึก พร้อมส่วนผสมจากสุดยอดสารสกัดที่มีคุณประโยชน์ต่อผิว

Hyaluronic Acid  ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตามธรรมชาติ ให้ความชุ่มชื้นถึงผิวชั้นใน ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับ                          

Vitamin C ช่วยให้ผิวใสกระจ่างขึ้น ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอเท่ากัน และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น

Vitamin B5 ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่น สุขภาพดี  ทำให้ผิวที่แห้งกลับมาเนียนนุ่มและมีความยืดหยุ่น  นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบและช่วยลดการระคายเคืองของผิว

Vitamin B3 ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ ลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำ

เนื้อเซรั่มที่บางเบาซึมซับสู่ผิวได้ง่าย พร้อมด้วยวิตามินซีที่ทรงคุณค่าต่อผิว ยังมีไฮยารูลอน ที่เป็นส่วนผสมของสกินแคร์ระดับพรีเมี่ยม เท่านั้นยังไม่พอ ยังเติม วิตามินบี5 และวิตามินบี3 ผนึกกำลังสร้างให้ผิวคุณมีสุขภาพดี ขาวกระจ่างใส เรียบเนียน มีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น เต่งตึง รุขุมขนกระชับ ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำทั้งหลาย

ดีงามากมายแบบนี้ที่คุณต้องลอง

Posted on

หากคุณรัก “ผม” คุณต้องใช้ “เคราติน”

สาวหลายคนคงเคยรู้จัก “เคราติน” จากร้านทำผม เพราะเป็นตัวทรีทเม้นท์ผมให้สวยงาม ซึ่งช่างเสริมสวยมักชอบเชียร์ให้ลูกค้าใช้ โดยบอกว่า ผมที่เสียจากการทำสีผม ดัดผม ยืดผม และจากการถูกรบกวนจากมลภาวะรอบกาย โดนทั้งความร้อน และสารเคมี สิ่งปนเปื้อนต่างๆ รวมถึงขาดการบำรุงที่ดีและไม่เพียงพอ จึงทำให้เส้นผมได้รับความเสียหาย ทั้งแห้ง แตกปลาย ชี้ฟู หยาบกระด้าง และหลุดร่วง หากได้ทำทรีทเม้นท์ด้วย “เคราติน” จะช่วยบำรุงผมให้แข็งแรง ผมที่เสียจะกลับมาดูสวย เงางามมีน้ำหนัก ไม่หลุดร่วงง่าย ไม่ว่าจะเคยใช้หรือไม่ก็ตาม สงสัยกันมั้ยคะว่า “เคราติน” นี้คือสารอะไร มีคุณสมบัติ และให้ประโยชน์อย่างไร เรามาทำความรู้จักกับเคราตินให้มากขึ้นกันนะคะ

เคราติน (KERATIN) คืออะไร

“เคราติน” เป็นชื่อของโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างสำคัญของผิวหนัง, เล็บ, ขน, และเส้นผมของมนุษย์ (และในเขา, นอ, ขน, เกล็ด, และกรงเล็บของสัตว์ชนิดอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งในใยแมงมุม) โปรตีนเคราตินที่พบในคนและสัตว์มีกระดูกสันหลังมีโครงสร้างเป็นเส้นใย โดยกรดอะมิโนที่พบมากที่สุดในโครงสร้างของเคราติน คือ ซิสเตอีน (cysteine)ซึ่งซิสเตอีนแต่ละโมเลกุลมีการเชื่อมต่อกันด้วยเป็นพันธะไดซัลไฟด์ (disulfide bond) ซึ่งเป็นพันธะที่แข็งแรงมาก จึงส่งผลให้โปรตีนเคราตินมีความแข็งแรงและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี

ต้นกำเนิดของเคราตินถูกสร้างโดยเซลล์ผิวหนังคีราติโนไซต์ (keratinocyte)ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของผิวหนังที่พบได้บริเวณชั้นล่างสุดของผิวหนังชั้นนอก (epidermis)

เคราตินมีบทบาทเกี่ยวกับการเสริมสร้างความแข็งแรงของอวัยวะและปกป้องเซลล์เยื่อบุผิวจากการถูกทำร้ายจากสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยช่วยป้องกันการดูดซึมของสารต่างๆเข้าสู่ร่างกาย ลดอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลต และป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวหนัง

เคราตินทำหน้าที่เป็นตัวประสานเนื้อเยื่อของผิวหนังเข้าด้วยกัน คุณสมบัติของเคราตินคือสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับชั้นเซลล์ผิวหนังและเป็นแหล่งความชุ่มชื้นของเส้นผม เส้นขนและเล็บ รวมถึงเป็นแหล่งอาหารที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ เจริญเติบโตได้เป็นปกติอีกด้วย

เคราตินบนผิวหนัง
เคราตินที่พบบริเวณผิวหนังชั้นนอก เช่น ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีลักษณะเป็นแผ่นบาง และมีความอ่อนนุ่ม(soft keratin)มากกว่าที่พบบริเวณเส้นผมขน และเล็บ เนื่องจากโมเลกุลของโปรตีนมีพันธะไดซัลไฟด์น้อยกว่า
หากบริเวณผิวหนังขาดเคราติน จะทำให้ผิวแห้ง แตก ลอกเป็นขุย

เคราตินในเส้นผมและขน
ส่วนเส้นผมและขนที่ยื่นออกมาจากผิวหนัง (hair shaft) มีโปรตีนเคราตินเป็นส่วนประกอบถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เคราตินที่พบจัดเป็นชนิดแข็ง (hard keratin) เนื่องจากมีพันธะไดซัลไฟด์จำนวนมาก โดยเคราตินที่บริเวณชั้นนอกสุดของเส้นผม (cuticle) มีการรวมตัวและยึดเกาะกันแน่นจนมีลักษณะเป็นแผ่นคล้ายกระเบื้อง ในขณะที่ชั้นกลาง (cortex) ซึ่งเป็นชั้นที่ใหญ่ที่สุด จะพบเคราตินแบบเส้นใยอัดตัวกันแน่นและพันเป็นเกลียวตามแนวยาวของเส้นผม โดยที่ชั้นนี้จะมีเม็ดสีเมลานิน (melanin) ที่ทำให้เส้นผมมีสีต่าง ๆ ตามเชื้อชาติของแต่ละคนอีกด้วย
การทำสีผม ดัด ยืดผม รวมถึงการมัดผมเป็นเวลานานๆ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เคราตินธรรมชาติละลายหายไป โดยเส้นผมจะมีสัมผัสที่หยาบกระด้างชี้ฟู ไม่สามารถแต่งเป็นทรงได้ อาจทำให้ผมบางลง ผมร่วง เและผมขาดง่าย

เคราตินในเล็บ
เป็นเคราตินชนิดแข็งเช่นเดียวกับในเส้นผมและขน แต่เส้นใยเคราตินมีการยึดเกาะกันเป็นแผ่นแบนและวางตัวขนานกันตามแนวยาวของเล็บ หากขาดเคราตินบริเวณเล็บ จะทำให้เล็บเปราะหักง่าย ฉีกเป็นชั้น

หากอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ เคราตินเป็นสารอาหารหลักของกระบวนการงอกใหม่ของเส้นผม เส้นขน และเล็บ รวมถึงเซลล์ผิวหนัง อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ไว้ใช้งานได้เองตามธรรมชาติ เคราติน มีกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ในลักษณะผลัดเซลล์เก่าแทนที่เซลล์ใหม่

โรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของการสร้างเคราติน

โรคดักแด้ (Epidermolysis Bullosa) ซึ่งการกลายพันธุ์ของยีนมีผลให้ผิวหนังแห้ง เปราะบางอย่างรุนแรงตั้งแต่กำเนิด และผิวหนังจะมีลักษณะพุพองมากขึ้นหากเกิดการเสียดสี

โรคผิวหนังเกล็ดปลา (Epidermolytic hyperkeratosis) ที่พบการสร้างเคราตินมาผิดปกติเนื่องจากการกลายพันธุ์ของยีน ทำให้ผิวหนังมีลักษณะแข็งคล้ายหิน

มะเร็งผิวหนังชั้นกำพร้า (Keratinocyte carcinoma) ซึ่งมักพบได้บ่อยในกลุ่มคนผิวขาว เกิดจากการได้รับรังสียูวีที่มากเกินไปจนยีนที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งตัวของเซลล์คีราติโนไซต์เกิดการกลายพันธุ์จนทำให้เกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติและกลายเป็นมะเร็ง

การสร้างโปรตีนเคราตินในมนุษย์ถูกควบคุมโดยปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ พันธุกรรม, ฮอร์โมน, สารอาหาร, รังสียูวี, การเกิดบาดแผล, และสารเคมีต่าง ๆ

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อให้กระตุ้นสร้างเคราตินนั้น ควรเลือกอาหารที่อยู่ในหมวดโปรตีนเป็นหลัก นอกจากจะพบเคราตินในอาหารจำพวกโปรตีนเป็นหลักแล้ว รองลงมาก็คืออาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและอาหารที่มีกรดอะมิโนจำเป็น เช่น กรดไขมัน โดยแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในกระบวนการสร้างเคราติน ได้แก่ ปลาแซลมอน ไข่ไก่ และตระกูลถั่ว เช่น อัลมอนด์ พีแคน มะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ถั่วแดง มะม่วง สัปปะรด กีวี ลูกพืช ชีส นมพร่องมันเนย โยเกิร์ต บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี สตอเบอร์รี บร็อคโคลี ผักปวยเล้ง ผักโขม ผักคะน้า หอยนางรม เมล็ดฟักทอง และเนื้อไก่ เป็นต้น

———————————————————————————————————————————————————-
ให้โอกาส ซีไนน์ ได้ดูแลคุณ…

เนื่องจากเคราติน ถูกทำลายได้อย่างง่าย ทั้งจากอายุที่มากขึ้น จากสิ่งแวดล้อม และสารเคมีต่าง ๆ จากการทำผม ซีไนน์ จึงมีผลิตภัณฑ์ดูแลผมที่เสริมเคราติน เป็นก ารทำทรีทเม้นท์แบบง่าย ๆ ทำได้เองที่บ้านด้วยการสระผมตามปกติ  ซีไนน์ขอแนะนำ 3 ตัวช่วย เสริมเคราตินให้เส้นผม ดังนี้

KERATIN ROSE SHAMPOO

KERATIN ROSE CONDITIONER

KERATIN HAIR SERUM

Posted on

Probiotic ช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้นได้อย่างไร ?

ร่างกายของเรานั้นประกอบไปด้วยจุลินทรีย์หลายล้านชนิด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย และอื่น ๆ โดยทั่วไป เรารับรู้กันมาตลอดว่าจุลินทรีย์ส่งส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ธรรมชาติของร่างกายนั้นยังสามารถผลิตจุลินทรีย์ดี ๆ อย่าง โปรไบโอติก (Probiotic) ขึ้นมาเพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในร่างกายได้

โปรไบโอติก (Probiotic) จึงเป็นจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่งจัดเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดี สามารถพบได้ในอาหาร ที่รูจักกันดี เช่น นมเปรี้ยว จะมีเชื้อแบคทีเรีย กลุ่ม Lactobacillus spp. เชื้อยีสต์ เช่น Saccharomyces boulardii โยเกิร์ต กิมจิ มิโสะ เป็นต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหาร ให้คำจำกัดความว่า โปรไบโอติก คือ “จุลินทรีย์ที่มีชีวิต เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้สุขภาพดีในภาวะต่างๆ โดยเป็นจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติทนต่อกรดและด่าง สามารถจับที่บริเวณผิวของเยื่อบุลำไส้แล้วผลิตสารต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ รวมถึงก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพได้”

หากร่างกายมีสุขภาพดีก็จะมีการรักษาสมดุลจุลินทรีย์ให้เป็นปกติ แต่ถ้าหากร่างกายอยู่ในภาวะไม่ปกติอาจส่งผลให้สมดุลจุลินทรีย์ในร่างกายเสียหายได้  จุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ถูกรุกรานจากจุลินทรย์ไม่ดี ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศของร่างกาย ซึ่งเป็นที่มาของโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นได้

ผิวหนังของเราก็มีการปรับสมดุลจุลินทรีย์ หรือที่เรียกว่า “ระบบนิเวศของผิว” (Skin Microbiome) เช่นเดียวกัน กล่าวคือผิวหนังประกอบไปด้วยจุลินทรีย์หลายล้านชนิดที่ดีและไม่ดี ระบบนิเวศของผิว จึงเป็นหลักในการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในผิว ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเชื้อโรค ป้องกันอาการแพ้อักเสบ รักษาสมดุลจุลินทรีย์ในผิว และป้องกันมลภาวะเข้าสู่ชั้นผิว

นั่นคือ โปรไบโอติก หรือจุลินทรีย์ดี มีความสำคัญต่อผิวหนังเป็นอย่างมาก หากระบบนิเวศของผิวหนังเสียสมดุลมีจุลินทรีย์ไม่ดีมากกว่า ก็จะเป็นสาเหตุให้สุขภาพผิวไม่แข็งแรง เกิดปัญหาผิวเสียต่าง ๆ ได้ง่าย

โปรไบโอติกส์ช่วยให้ skin microbiome ทำงานได้ดี โดย
– ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและควันพิษ ทำให้สุขภาพผิวแข็งแรง
– ช่วยทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้ดี ไม่แห้ง
– ลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการผิวแพ้ ผื่นแดง
– ลดสัญญาณที่ก่อให้เกิดผิวแห้ง ไม่กระชับ
– ช่วยปรับค่า pH balance ให้คงที่

โดยปกตินั้น microbiome ก็มีความสมดุลดีอยู่แล้ว แต่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้สมดุลนั้นถูกทำลายไป ได้แก่

  • อายุที่มากขึ้น
  • มลภาวะ ควันพิษ
  • รังสียูวีจากแสงแดด
  • ยาปฏิชีวนะ
  • อาหารไขมัน เกลือ
  • สภาพผิวมัน ,ผิวแห้ง

สิ่งเหล่านี้จะทำลาย microbiome ในผิวอย่างรุนแรง นำไปสู่ภาวะผิวแห้ง ผิวแพ้ แดง คัน หรือแม้แต่สิว ดังนั้นหากผิวหนังขาดจุลินทรีย์ดีหรือ โปรไบโอติก (Probiotic) จะส่งผลให้สุขภาพผิวอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางผิวหนังได้

การใช้ผลิดตภัณฑ์ดุแลผิว (Skin Care) ในชีวิตประจำวันบางชนิดเช่นการใช้โฟมล้างหน้าหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดเซลล์ผิวบ่อยๆ สามารถทำให้แบคทีเรียที่ดีบนผิวของเราลดลง จุลินทรีย์เสียสมดุล ส่งผลให้ชั้นผิวที่ทำหน้าที่เหมือนเกราะปกป้องผิวอ่อนแอลง และอาจเกิดอาการแพ้ รอยแดง แม้กระทั่งสิว ซึ่งล้วนเป็นอาการอักเสบของผิวที่จะนำไปสู่ความเสื่อมของผิวก่อนวัย

นวัตกรรมด้านสกินแคร์จึงมีการคิดค้นใหม่ด้วยการเติมอาหารผิวอย่าง “โปรไบโอติกส์” เข้าไปในการบำรุงผิว ช่วยลดปัญหาผิวจากอาการแดงจากผื่นแพ้หรืออาการอักเสบจากสิว และยังช่วยกระตุ้นให้ผิวฟื้นฟูและปกป้องตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหลักการที่สำคัญคือลดจุลินทรีย์ตัวร้าย โดยเติมโปรไบโอติกส์เพื่อคืนสมดุลปรับให้สุขภาพผิวแข็งแรงขึ้น


ให้โอกาส ซีไนน์ ได้ดูแลคุณ

หากคุณมองหาผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มี “โปรไบโอติก” ขอแนะนำผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของซีไนน์ ที่ออกมาครบเป็นซีรีย์ คือ

C9 Probiotic Facial Foam Wash
โฟมล้างหน้าที่ช่วยทำความสะอาดล้ำลึกได้อย่างหมดจด ขจัดคราบสกปรกทึ่ตกค้างบนผิวหน้าให้สะอาด ช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ผลิตโดยใช้นวัตกรรมโปรไบโอติก และสารสกัดทรงคุณค่าได้แก่
Aloe Vera Extract
ช่วยปรับสภาพผิวลดอาการแพ้ระคายเคือง ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และสมานแผลเป็น ลดการอักเสบของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นการสร้างสารคลอลาเจน ให้ความชุ่มชื้นแก่ ผิว ให้ผิวเรียบเนียน
Witch hazel
มีสรรพคุณในการสมานแผล ลดการอักเสบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอ่อนๆ จึงช่วยลดการเกิดสิวได้ บำรุงผิวไม่ให้แห้งกร้าน เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว และมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยปกป้องผิวจาก มลภาวะต่างๆ ทั้งยังลดการสร้างน้ำมันใต้ผิวอีกด้วย
Tea tree oil ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค และสามารถฆ่าเชื้อโรคบนผิวหนัง จึงช่วยลดการอักเสบ ของสิว ช่วยให้สิวยุบและแห้งเร็วขึ้น รักษาอาการคัน ลดผดผื่นแดงคันตาม


C9 Probiotic Toner
ทำความสะอาดผิวหน้า ขจัดคราบสกปรกทึ่ตกค้างบนผิวหน้าให้สะอาด ช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
ผลิตโดยใช้นวัตกรรม Probiotic และสารสกัดทรงคุณค่า ได้แก่
Aloe Vera Extract
ช่วยปรับสภาพผิวลดอาการแพ้ระคายเคือง ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และสมานแผลเป็น ลดการอักเสบของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นการสร้างสารคลอลาเจน ให้ความชุ่มชื้นแก่ ผิว ให้ผิวเรียบเนียน
Witch hazel
ช่วยกระชับรูขุมขน โดยไม่ระคายเคืองผิว นิยมใช้ผสมใน toner เพื่อช่วยกระชับรูขุมขน เนื่องจากเป็นพืชธรรมชาติ ทําให้สามารถใช้ได้แม้ผิวแพ้ง่าย ช่วยบํารุงผิวไม่ให้แห้งกร้าน เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว และมีสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆ ทั้งยังลดการสร้างน้ํามันใต้ผิวอีกด้วย
IRed clover flower
การันตีด้วยรางวัล Silver ใน 474 In-Cosmetic Paris 2016 Innovation Zone Best Ingredient Award พบสารออกฤทธิ์ที่สําคัญคือ Biocharin A สามารถยับยั้งการทํางานเอนไซม์ 5 Alpha-reductase ช่วยลดการผลิตไขมันและมี คุณสมบัติ Detoxifying ขจัดสารพิษ toxin ในผิว ต่อต้านอาการอักเสบ ช่วยกระชับรูขุมขนที่เห็นได้ชัดเจน


C9 Probiotic Cream
ครีมบำรุงผิวหน้า ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่อ่อนโยนแพ้ง่าย ยับยั้งการอักเสบของผิว และช่วยปรับให้ผิวเกิดความสมดุล ช่วยลดการต้านอนุมูลอิสระและกรองรังสีให้แก่ผิว
ผลิตโดยใช้นวัตกรรม Probiotic และสารสกัดทรงคุณค่า ได้แก่
ไฮยาลูรอน
ช่วยผิวที่มีปัญหาขาดความสมดุล ผิวแห้งเป็นขุย หรือหลุดลอกเป็นแผ่นๆ ด้วยคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื้น ในชั้นผิวได้ดีเยี่ยม บํารุงผิวพรรณโดยเฉพาะผิวหน้าจะสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วในด้าน ความพึง กระชับ เรียบเนียน ลดอาการอักเสบของสิวซ่อมแซมผิวที่ถูกทําลาย เร่งกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ที่มีผลต่อการหายของแผล มีส่วนช่วยในการลดการสร้างอนุมูลอิสระ และกรองรังสี UV ที่จะทําร้ายผิว
Vitamin B3
เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว โดยเฉพาะการลดริ้วรอย ลดรอยแดง รอยดํา เพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการกระตุ้น ให้ผิวสร้างคอลลาเจนและเซราไมด์ เพิ่มความยืดหยุ่นของผิวในชั้นหนังแท้ ผิวจึงแข็งแรงขึ้น ต่อสู้กับการระคายเคือง (iritants) ต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยในเรื่องเซลล์ผิว ลดการสร้างเมลานินหรือเซลล์เม็ดสี จึงทําให้กระ ฝ้าจางลง

ให้ “โปรไบโอติก” ดูแลผิว ใช้โปรไบโอติกซีรีย์ของซีไนน์นะคะ…

 

By : Eedsbuyzone

Posted on

“น้ำมันมะพร้าว” สุดยอดสรรพคุณทั้งสุขภาพและความงาม

หากจะให้นึกถึงผลไม้ชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์พร้อมด้วยสรรพคุณมากมาย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมี “มะพร้าว” อยู่อันดับต้น ๆ แน่นอน ไม่เฉพาะผลมะพร้าวที่มีประโยชน์มหาศาล ประโยชน์ของมะพร้าว มีตั้งแต่รากในดินถึงลำต้น ก้านมะพร้าว ใบมะพร้าว เปลือกมะพร้าว กะลามาพร้าว เนื้อมัพร้าว น้ำมะพร้าว จาวมะพร้าว เรียกว่าทุกส่วนของต้นมะพร้าวนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด

“น้ำมันมะพร้าว” สรรพคุณครอบจักรวาล
น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันที่มีประโยชน์มาก หากรับประทานเพื่อสุขภาพ น้ำมันมะพร้าวเป็น “ไขมันแคลอรีต่ำ” และบำบัดความหิวได้ดีกว่าไขมันหรืออาหารอื่น ผู้ที่ทานน้ำมันมะพร้าวจะไม่หิวเป็นเวลานาน และตลอดทั้งวัน จึงทานอาหารน้อยกว่าผู้ที่ทานน้ำมันอื่น ๆ ทำให้มีแคลอรีน้อยกว่า จนไม่มีเหลือสะสมเป็นไขมัน นอกจากนี้ยังช่วยรักษาโรค  เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เผาผลาญไขมัน กระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ กระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ หากใช้กลั้วคอจะช่วยขจัดเชื้อโรคในลำคอและลดกลิ่นปากได้ด้วยนอกจากนี้หากใช้เป็นประจำน้ำมันมะพร้าวยังช่วยสมานแผลต่างๆ ได้ด้วย

น้ำมันมะพร้าวกับความงาม
น้ำมันมะพร้าวยังมีประโยชน์ด้านความงามอีกด้วย สามารถนำมาใช้สำหรับเครื่องสำอางค์ได้ทั้งการช่วยดูแลผมและผิว น้ำมันมะพร้าวหมักผม ช่วยบำรุงเส้นผมทำให้ผมดกดำ ทำให้สวยเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าวใช้ช่วยบำรุงผมเสีย แก้ปัญหาผมร่วง ผมแตกปลาย
นอกจากนี้ น้ำมันมะพร้าวยังช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น โรคเรื้อน สิว โรคสะเก็ดเงิน หากใช้ทาหน้าบาง ๆ ก่อนนอนแทนครีมบำรุงผิวได้ จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน รุ้สึกว่าผิวหน้าละเอียดขึ้น หน้าเนียนขึ้น รอยด่างดำจากสิวจางลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ

“น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น” คืออะไร

น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เป็นการผลิตน้ำมันที่ได้จากการนำมะพร้าวมาแยกน้ำมันออกจากเนื้อมะพร้าวด้วยวิธีสกัดเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความร้อนและไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี น้ำมันที่ได้จึงมีลักษณะใสเหมือนน้ำ ไม่มีกลิ่นหืน อาจกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมะพร้าวปนมาด้วย เพราะเหตุนี้เองน้ำมันมะพร้าวจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์”

วิธีทำน้ำมันมะพร้างสกัดเย็น

ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร กรมวิชาการเกษตร แนะนำกรรมวิธีทำน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น โดยทั่วไป มะพร้าว 6-7 ลูก จะสามารถผลิตน้ำมันมะพร้าวได้ 1 ลิตร ขั้นตอนการทำมีดังนี้
1. คั้นกะทิ โดยผสมน้ำต่อมะพร้าวขูด ในอัตรา 1 : 1
2. นำน้ำกะทิที่ได้ใส่ในตู้เย็น หรือช่องทำน้ำแข็ง หรือแช่ในถังน้ำแข็ง เพื่อให้กะทิแยกชั้นชัดเจน
3. แยกเอาชั้นครีมชั้นบนของกะทิมาใส่โถหมัก
4. ปิดโถด้วยผ้าขาวสะอาด ตั้งไว้ 36-48 ชั่วโมง ในที่สะอาด อากาศโปร่ง จะสังเกตเห็นชั้นน้ำมัน เมื่อครบ 24
ชั่วโมง ตั้งไว้จนน้ำมันแยกชั้นสมบูรณ์
5. ตักน้ำมันออกมากรองด้วยผ้าขาวบางที่พับไว้หลายชั้น
6. ไล่น้ำออกไปจากน้ำมันที่กรองได้ ด้วยหม้อต้ม 2 ชั้น สังเกตว่าไม่มีฟองปุดขึ้นมาแล้ว จึงใช้ได้
7. ตั้งทิ้งไว้อีก 1 สัปดาห์ เพื่อให้น้ำมันใสและตะกอนต่างๆ จะตกไปที่ก้นภาชนะ
8. บรรจุขวด

คำแนะนำในการผลิต
1. ผ่ามะพร้าว แล้วล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำมาขูด
2. ไม่ใช้มะพร้าวงอกและมะพร้าวที่มีตาชื้นแฉะ เพราะหากมีจุลินทรีย์ปะปนจะได้น้ำมันที่มีกลิ่นแรง
3. มะพร้าวขูดต้องนำมาคั้นกะทิทันที ไม่ทิ้งไว้หรือแช่ตู้เย็น เพราะหากมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ทำให้ไม่เกิดการ
แยกชั้นน้ำมัน
4. หากคั้นกะทิด้วยมือ ควรคั้นนานๆ เพื่อให้ได้กะทิที่มีความมันมาก
5. ควรใช้ภาชนะพลาสติกใสเป็นโถหมัก เพื่อสังเกตการแยกชั้นน้ำมันได้ง่าย
6. ไม่ตั้งโถหมักในห้องครัว เพราะจะมีเชื้อราขึ้นที่ผิวกะทิ

ถึงแม้ว่าสรรพคุณน้ำมันมะพร้าวดุจของวิเศษ แต่กรรมวิธีผลิตก็ยุ่งยากพอสมควร จึงมีผู้ผลิตมากมายคิดค้นผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นออกสู่ตลาดให้ผู้บริโภคเลือกใช้
————————————————————————————————

ให้โอกาส ซีไนน์ ได้ดูแลคุณ

ซีไนน์ นาโน โคโคนัท ออย เซรั่ม

คุณสมบัติ เซรั่มบางเบาซึมไวทำให้ผิวกระจ่างใส เนียนนุ่ม น่าสัมผัสและสามารถบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงเงางามลดปัญหาผมแตกปลายและลดการหลุดร่วงของเส้นผม

เป็นเซรั่มที่สกัดจากน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น และยังมีส่วนผสมที่เป็นตัวบำรุงชั้นดี ได้แก่ สารสกัดวิตามิน C วิตามิน E และสารสกัด นานาชนิด ทำให้เนื้อเซรั่มบางเบาและซึมไว คุณค่าดีต่อทั้ง ผิว หน้า และผม ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส เนียนนุ่ม น่าสัมผัสและสามารถ บำรุงเส้นผมให้แข็งแรงเงางาม ลดปัญหาผมแตกปลายและผมร่วงได้ด้วย เหมาะมากสำหรับมีติดไว้ประจำหน้ากระจก เพราะใช้ได้ทั้งหญิงและชาย ผู้ชายใช้ทาหลังโกนหนวดจะรู้สึกสบายผิวดีมาก สำหรับผู้หญิงยังใช้ช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางค์ทั้งเช็ดทำความสะอาดและบำรุงผิวในตัว ผิวแตก ส้นเท้าแตกยังช่วยได้ สารพัดประโยชน์แบบนี้มีไว้ในขวดเดียว ภูมิใจแนะนำค่ะ
“ซีไนน์ นาโน โคโค่นัท ออย เซรั่ม”


By : Eedsbuyzone